ถ้าสมมตินี่เราเกษียณแล้วและกำลังเริ่มดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้ยามเกษียณมาใช้ มาถึงตรงนี้จะพูดภึงการออมอะไรก็ไม่ทันแล้ว สิ่งที่ทำได้หลักๆเลยคือการควบคุมอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ คำถามสำคัญคือเราใช้จ่ายได้เท่าไหร่ถึงจะไม่ทำให้เงินเกษียณหมดเร็วเกินไป
จริงๆเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ดีเราอาจจะต้องหาที่ปรึกษาทางการเงินมาช่วยวางแผน เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่โอเควันนี้เราจะพูดถึงหลักการพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องรู้เกี่ยวกับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ เราจะคำนวณมันอย่างไร แล้วโดยปกติมันควรจะเป็นเท่าไหร่ดี
-
คำนวณหาอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปัจจุบันของเรา
คำนวณโดยการรวบรวมรายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบปี จะทำการประมาณการเอาหรือจะใช้ของจริงเลยได้ก็ยิ่งดี จากนั้นหักรายได้ที่ได้ประจำจากแหล่งอื่นที่ไม่เป็นการดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้เกษียณมาใช้ เช่นเงินบำนาญชราภาพจากประกันสังคม, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, บำนาญจากประกันชีวิต, รายได้จากปล่อยเช่าห้องคอนโด, ฯลฯ พอหักส่วนนี้ออก ตัวเลขที่ได้คือส่วนของค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องดึงเงินเก็บจากส่วนที่สะสมไว้มาใช้ เอาเลขตัวนี้ตั้งจากนั้นหารด้วยมูลค่าของเงินที่สะสมไว้ทั้งหมดก็จะได้อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรา
สมมติคนเกษียณต้องมีเงินใช้ปีละ 240,000 บาท ได้รับเงินบำนาญจากประกันสังคมปีละ 60,000 บาท เหลือส่วนที่ต้องดึงออกมาจากเงินที่สะสมไว้ปีละ 180,000 บาท ถ้าเค้ามีเงินสะสมไว้สำหรับเกษียณ 4,000,000 บาท แปลว่าคนนี้ก็จะมีอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปีละ 4.5% แต่สมมติต้องดึงเงินมาใช้ปีละ 400,000 บาท อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ก็จะเป็นปีละ 10%
-
ดูว่าอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรามันสูงไปมั้ย
โดยปกติตัวเลขที่นิยมใช้กันเป็นมาตรฐานคือเริ่มต้นปีแรกที่ 4% แล้วจากนั้นค่อยๆปรับการใช้ตามความจำเป็นของเงินเฟ้อขึ้นไปในแต่ละปี มีงานวิจัยศึกษาหลายอันที่พูดถึงและยืนยันตัวเลขนี้ว่าเป็นตัวเลขอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ที่ค่อนข้างปลอดภัย
เหตุผลหลักคือสมมติคิดแบบหยาบๆใช้ปีละ 4% กว่าจะหมดก็ใช้เวลา 25 ปี ถ้าเราเกษียณตอนอายุ 60 ปี ก็จะหมดตอนอายุ 85 ปี หรือถ้าเกษียณเร็วอายุ 55 ปี เงินก็จะหมดตอนอายุ 80 ปี ซึ่งโดยคร่าวๆก็เป็นอายุเฉลี่ยของเราพอดี
เหตุผลที่สองคือ 4% เป็นตัวเลขที่ไม่สูงเกินไป ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเงินสะสมในแต่ละปีจะช่วยทดแทนส่วนที่เราใช้ไปได้บ้าง เพื่อให้เห็นภาพดูตัวอย่าง
ตัวอย่าง 1
ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสมทั้งก้อน 100% ไว้ในกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 2.5%
ต้นปีจากเงิน 100 บาท เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน มันจะเหลือ 96 บาท
เงิน 96 บาทต้นปี ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 2.5% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 2.4 บาท
ปลายปีจะเรามีเงิน 98.4 บาท
ตัวอย่าง 2
ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสม 80% ตราสารหนี้ 20% หุ้น ผลตอบแทนคาดหวังจะเป็นประมาณ 3.87%
ต้นปีจากเงิน 100 บาท เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน มันจะเหลือ 96 บาท
เงิน 96 บาทต้นปี ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 3.87% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 3.71 บาท
ปลายปีจะเรามีเงิน 99.71 บาท
จะเห็นว่าเงินของเรามันจะหายไปช้าลงถ้าเราลงทุนได้ผลตอบแทนดีขึ้น
-
ปรับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ของเรา
มาตรฐานที่บอก 4% มันก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนซะทีเดียว เราอาจจะปรับการดึงเงินมาใช้ของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆอย่างอื่นเช่น
-
ระยะเวลาที่เหลือ
แผน 4% มันออกแบบมาสำหรับคนที่คาดว่าจะใช้ชีวิตเกษียณอยู่ต่อประมาณ 25-30 ปี ดังนั้นสมมติว่าถ้าเราคาดว่าเราจะมีชีวิตอยู่นานกว่านั้นไปอีก แปลว่าเราอาจจะต้องใช้น้อยกว่าปีละ 4% หรือสมมติถ้าเราอายุ 75 ปีแล้ว เราก็อาจจะไม่ต้องกังวลมากนัก ใช้เยอะขึ้นกว่า 4% ก็ได้
-
ลงทุนในอะไรหลังเกษียณ
แผน 4% จริงๆแล้วเค้าตั้งสมมติฐานว่าคนลงทุนผสม มีทั้งตราสารหนี้และหุ้น ไม่ใช่ตราสารหนี้อย่างเดียว เพราะเค้าต้องการจะเผื่อว่าเรามีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินหรืออะไรนอกเหนือจากที่ดึงไปใช้ปกติด้วย
ถ้าเราตั้งใจจะลงทุนตราสารหนี้อย่างเดียว เราอาจจะต้องดึงออกมาใช้น้อยกว่า 4%
-
เข้าใจไว้เสมอว่าแผนอาจจะต้องมีการปรับ โดยเฉพาะถ้าผลตอบแทนการลงทุนเปลี่ยนแปลง
อย่างสมมติถ้าคนเกษียณโชคร้ายดันไปเจอปีที่หุ้นตกรุนแรงตอนปีแรกๆที่เริ่มเกษียณพอดีแล้วไม่ได้ปรับลดการดึงเงินออกมาใช้ เงินกองทุนที่สะสมไว้มันลดไปเร็วกว่าที่คาด แล้วเหลือเงินสะสมน้อยลงสำหรับปีที่ตลาดฟื้นตัว ทำให้ในระยะยาวอาจจะเหลือเงินใช้น้อยกว่าแผนที่วางไว้
ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คืออาจจะต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์บ้าง เช่นปีที่ผลตอบแทนทำได้น้อยเราก็ใช้ประหยัดหน่อย แล้วไปใช้เยอะขึ้นในปีที่ผลตอบแทนทำได้ดีแทน
สำหรับคนที่เกษียณแล้วผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ช่วยได้มากสุดประมาณนี้ อาจจะต้องไปปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มเติมอีกที ยังไงขอให้โชคดีครับ