อันนี้ปกติถ้าเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเตรียมให้ลูกค้ามันจะมีรายละเอียดเยอะมาก แต่ส่วนตัวผมว่ามันไม่ต้องซับซ้อนขนาดนั้นก็ได้ ผมว่าการวางนโยบายการลงทุนของตัวเองยิ่งทำให้ชัดเจนเข้าใจง่ายเท่าไหร่ยิ่งดี เป็นไปได้มันควรจะสรุปอยู่บนสองหน้ากระดาษพอ ที่ผ่านมาเราอาจจะลงทุนอยู่แล้วแหละแค่ไม่ได้มีการวางนโยบายภาพรวมที่ชัดเจน วันนี้เราจะมาทำสร้างนโยบายการลงทุนของตัวเองกัน
แผนนโยบายการลงทุนคือเราพยายามจะกำหนดภาพรวมการลงทุนเราว่า จะลงทุนในสินทรัพย์แบบไหนบ้างเป็นสัดส่วนเท่าไหร่, ลงทุนแต่ละอย่างมีหลักเกณฑ์ในการเลือกอย่างไร และจะมีระบบในการติดตามผลดูแลอย่างไร
เพื่อความง่าย ใช้ template ของ Morningstar เลยก็ได้ครับ ไปดาวน์โหลดที่นี่
https://drive.google.com/open?id=1Ysqq4hcsDfMndQ_R0di9iF_Dp365Dalp
จากนั้นทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
-
เขียนเป้าหมายทางการเงินให้เรียบร้อย
อันนี้เราน่าจะได้เคยทำไปแล้วตั้งแต่บทความที่แล้ว สมมติยังไม่ได้ทำลองกลับไปอ่าน LINK TO IMPROVE YOUR FINANCIAL LIFE 3
-
วางโครงร่างนโยบายการลงทุนภาพกว้าง
ตรงนี้ก็เอาให้กระชับ สำหรับคนอายุน้อยอาจจะเป็น
“จะลงทุนในกองทุนดัชนีหุ้นเป็นหลัก เป็นสัดส่วน 10% ของเงินเดือนทุกเดือน ช่วงนี้จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้น 80% ตราสารหนี้ 20% พอใกล้เกษียณมากขึ้นจะทยอยปรับเป็นหุ้นหรือกองทุนหุ้น 50% ตราสารหนี้ 50%”
หรือถ้าเป็นวัยใกล้เกษียณหรือเกษียณแล้วอาจจะเป็น
“จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นที่เน้นปันผลสม่ำเสมอ 50% และกองทุนตราสารหนี้ 50% ให้ความสำคัญกับกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอมากกว่าผลตอบแทนที่สูง”
-
บันทึกมูลค่าเงินลงทุนปัจจุบันของเราว่ามีเท่าไหร่
ทำการบันทึกเงินลงทุนรวมทั้งหมดว่ามีเท่าไหร่บาท ในหัวข้อนี้เอาแค่มูลค่ารวมก็พอ แต่สมมติใครจะบันทึกละเอียดแบ่งย่อยตามประเภททรัพย์สินก็ได้
-
กำหนดสัดส่วนขนาดเงินลงทุนในทรัพย์สินแต่ละประเภท
บางคนอาจจะบอกไม่รู้จะกำหนดสัดส่วนอย่างไร จริงๆมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากเลยแต่ละคนไม่เหมือนกัน และมันไม่มีคำว่าจัดแบบไหนดีที่สุด แต่ส่วนตัวผมแนะนำว่า
-
สำคัญสุดคือสัดส่วนมันต้องทำให้เราไปถึงเป้าหมาย คือจะวางเป้าหมายปลอดภัยจนสุดท้ายไม่ถึงเป้าหมายมันก็ไม่ใช่เรื่อง ไม่รู้จะทำไปทำไม ดังนั้นเมื่อกำหนดสัดส่วนออกมาแล้ว เราต้องดูว่าผลตอบแทนคาดหวังโดยรวมของสัดส่วนนี้ มันทำให้เงินเราเติบโตตอบโจทย์ชีวิตของเราหรือเปล่าเป็นสำคัญ
-
กำหนดสัดส่วนที่เราสบายใจ ไม่ต้องเน้นกำไรสูงสุดก็ได้ ต่อให้เราอายุน้อยปกติเค้าแนะนำให้มีสัดส่วนหุ้นเยอะๆ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าเป็นพวกขี้กลัวตกใจง่าย ก็เอาสัดส่วนที่มันไม่หวือหวามาก ให้เราคุมสติได้ไว้ก่อน
หรือจะลองทำแบบทดสอบดูก็ได้ครับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนส่วนใหญ่เค้าจะมีแบบทดสอบเอาไว้ให้ลูกค้าลองทำก่อนที่เค้าจะเสนอแนะนำการลงทุนอยู่แล้ว ของยี่ห้อไหนก็ได้ครับ
ทำออนไลน์ของไทยพาณิชย์ ได้ที่ http://scbfirst.scb.co.th/wealth-intelligence/wealth-consultancy-service/risk-assessment
หรือจะปริ้นท์ออกมาทำก็ได้ ผมมีให้ดาวน์โหลดของทิสโก้
https://drive.google.com/open?id=1-9iB2UdqyCvPYvAR9Rn_Q47kSMOiQnsL
ถึงเวลาจริงสัดส่วนทรัพย์สินเรามันจะไม่นิ่ง เพราะมูลค่าเงินลงทุนมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดังนั้นเราไม่ต้องไปเป๊ะมากว่ากองทุนหุ้นต้องมี 60% เป๊ะเท่านั้นหรืออะไร เอาเป็นช่วงแบบ 55-65% อะไรแบบนี้ดีกว่า เราจะได้ไม่ต้องมาจูนเงินลงทุนบ่อยๆ มาปรับจูนเฉพาะเวลามันต่ำว่า 55% หรือสูงกว่า 65% พอ
สำหรับคนที่ชอบความละเอียดอาจจะระบุแยกย่อยลงไปเพิ่มเติมอีก เช่นกองทุนตราสารหนี้ 30% อาจจะขยายความว่าเป็นกองทุนตลาดเงิน 10% กับกองทุนตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว 20% อะไรก็ว่าไป
-
กำหนดวิธีการเลือกลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท
เขียนระบุลงไปว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทที่เราจจะลงทุน ในแต่ละอย่างเราจะมีวิธีเลือกแบบไหน
เช่น “หุ้นที่เราเลือกจะต้องมีอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้ 10% ขึ้นไป และจะต้องกำไรเติบโตค่อนข้างสม่ำเสมอไม่แกว่งรุนแรงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา”
หรืออย่างถ้าเป็นกองทุนเราอาจจะบอกว่า “จะลงทุนในกองทุนหุ้นที่มีผลตอบแทนเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังไม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาด และมี Total Expense Ratio ต่ำกว่า 1% เท่านั้น”
-
กำหนดลงไปว่าเราจะคอยเช็คสภาพการลงทุนเราอย่างไร
แน่นอนว่าที่เราอุตส่าห์กำหนดทิศทางการลงทุนมา เราก็ต้องมีการเช็คดูเป็นระยะด้วย ระบุลงไปเลยว่าเราจะเช็คดูบ่อยแค่ไหน ส่วนตัวผมมองว่าบ่อยเกินไปก็ไม่ดี 3 เดือนครั้งก็เยอะแล้ว และเวลาที่เช็คเราควรจะต้องดู
-
พอร์ตการลงทุนเราเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มั้ย
-
สัดส่วนทรัพย์สินแต่ละประเภทเป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือเปล่า
-
พอร์ตการลงทุนเราเติบโตได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่คล้ายกันหรือเปล่า
เรียบร้อยครับ ถ้าเราวางนโยบายการลงทุนของตัวเองไว้แต่แรก เราก็จะไม่งง และไม่เผลอถือทรัพย์สินอันใดอันหนึ่งเยอะเกินไปแน่นอน