จัดสัมมนาครั้งล่าสุดที่ผ่านมา หลังสัมมนามีผู้เข้าสัมมนาเกาะกลุ่มกันยืนถามความเห็นผมเกี่ยวกับหุ้นตัวนู้นตัวนี้ ปรากฎว่ามีแต่เรื่องยากๆทั้งนั้นเช่น ดีแทคจะประมูลคลื่นหรือเปล่า, BTS ถ้าสัมปทานหมดจะเกิดอะไรขึ้น, ฯลฯ ผมเลยงงว่าทำไมพวกเราต้องไปทำอะไรให้มันยากแบบนั้นด้วย ผมเลยนำเสนอจังหวะการลงทุนที่กำไรกันง่ายๆค่อนข้างชัวร์ดีกว่าครับ
ประเภท 1: บริษัทดีที่กิจการทุกอย่างปกติ แล้วเกิดราคาหุ้นตกรุนแรงแค่เพราะการตกใจเป็นหมู่คณะ
กรณีลักษณะแบบนี้ผมเรียกว่าเป็นช็อตที่ชัวร์มาก บางทีก็เกิดขึ้นกับหุ้นทั้งตลาด หือบางทีก็เกิดกับหุ้นเฉพาะตัว มันมาได้หลายรูปแบบมาก แต่โดยรวมแล้วเป็นเวลาดีที่เราจะซื้อ เพราะเราจะซื้อหุ้นได้ในราคาถูก แถมไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่างหากเพราะสาเหตุคือแค่คนตกใจ เล่นง่ายสุดๆละ
เช่นอย่างปี 2008 นี่ก็เป็นตัวอย่างนึงที่ดีมาก มันมีวิกฤติของสถาบันการเงินในอเมริกาที่ปล่อยกู้ซื้อบ้านให้ลูกหนี้ชั้นเลว (Subprime) แล้วพอคนไม่จ่ายเงินคืนก็เลยมีสถาบันการเงินเจ๊งไป ทำตลาดหุ้นอเมริกาตกรุนแรง พลอยทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกตกรุนแรงไปด้วย ตลาดหุ้นไทยเราก็ตกถล่มทลายไปด้วยทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเค้าเลย กิจการในไทยหลายบริษัทขายของอยู่ในประเทศไทยกำไรไม่ได้ตกด้วยซ้ำ และดังนั้นคนที่เข้าไปกว้านซื้อช่วงนั้น ต่อให้ซื้อสุ่มๆไม่ใช้ความคิดอะไร ก็จะกำไรเมื่อเวลาผ่านไปแล้วคนหายตกใจ
เหตุการณ์ลักษณะตกใจพวกนี้มาได้หลายแบบมาก เช่น น้ำท่วม, ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศมาตรการกันสำรอง 30% สำหรับเงินลงทุนระยะสั้น, ตลาดหุ้นจีนตก, Brexit, Deutsche Bank จะล้ม, ฯลฯ แล้วแต่จะเกิดเลยครับ มีเกิดขึ้นทั่วโลกเป็นระยะๆ นั่นเลยเป็นเหตุผลที่ผมเริ่มลงทุนนอกตลาดหุ้นไทย เพราะจะไปฉวยโอกาสจังหวะแบบนี้แหละครับ
Case study จากประสบการณ์ผมก็ได้กำไรดีทุกครั้งจากเหตุการณ์พวกนี้ จากวิกฤติ 2008 ผมซื้อเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ เพราะราคาตกรุนแรงบวกกับเชื่อว่าคนไม่จ่ายหนี้ในอเมริกามันไม่เกี่ยวกับคนไทยไม่ดูหนัง หรือปีที่แล้วนี้เอง 2015 ตอนตลาดหุ้นจีนตกรุนแรง ผมก็ไปซื้อสนามบิน Guangzhou เพราะคิดว่าสนามบินแห่งเดียวของเมืองยังไงก็มีคนใช้
สรุปคือ ตั้งสติแล้วมองหากรณีหุ้นตกจากสาเหตุที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจน่ะครับ แน่นอนว่าคนที่มีความรู้ความสามารถย่อมสามารถเลือกกิจการได้ดีกว่า และรู้ละเอียดกว่าว่าควรรอซื้อเก็บที่ราคาเท่าไหร่ แต่ลักษณะกรณีแบบนี้ง่ายมาก ต่อให้ซื้อมั่วๆไปก็แทบจะกำไรแน่นอนอยู่ละครับ