เร็วๆนี้ผมไปอ่านจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Warren Buffett แล้วไปเจอเรื่องนี้เข้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเหล่าผู้ช่วยที่มายื่นมือมาช่วยเรื่องการลงทุนให้เรา เขียนเห็นภาพและฮาดีมาก วันนี้เลยเดี๋ยวจะพยายามเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่เนื่องจากต้นฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ดังนั้นผมจะแปลและมีการปรับพวกชื่ออะไรให้มันเกี่ยวกับเรามากขึ้น
จินตนาการว่าบริษัททุกบริษัทในไทย มีครอบครัวเดียวเป็นเจ้าของ ชื่อว่าครอบครัว “สยาม” หลังจากหักภาษีแล้ว ครอบครัวนี้ก็รวยขึ้นเรื่อยๆมาตลอดทุกรุ่นจากกำไรที่บริษัททั้งหลายทำได้ ในครอบครัวนี้ทุกคนก็รวยขึ้นเป็นสัดส่วนเท่าๆกัน และทุกอย่างก็เรียบร้อยดี
วันหนึ่งก็มีกลุ่มผู้ช่วยพูดเก่งกลุ่มนึงมาหาครอบครัวนี้ แล้วชวนให้สมาชิกในครอบครัวพยายามทำกำไรเพิ่มขึ้นจากญาติตัวเอง โดยการซื้อธุรกิจบางส่วนที่ญาติคนอื่นถืออยู่หรือขายธุรกิจบางส่วนที่ตัวเองถืออยู่ โดยที่แน่นอนว่ากลุ่มผู้ช่วยนี้จะเป็นคนช่วยจัดการธุรกรรมต่างๆให้และคิดค่าธรรมเนียมนิดหน่อย ครอบครัวสยามก็ยังเป็นเจ้าของบริษัททุกบริษัทในไทยอยู่นะ ตอนนี้แค่ว่ามีการจัดสรรกันใหม่เปลี่ยนมือไปมาเท่านั้นเอง และตอนนี้รายได้ของครอบครัวนี้โดยภาพรวมน้อยลงละ มาจากกำไรหลังภาษีของบริษัท หักค่าธรรมเนียมที่จ่ายผู้ช่วย ยิ่งคนในครอบครัวนี้ซื้อขายไปมาบ่อยเท่าไหร่ ก้อนเค้กของครอบครัวโดยรวมก็จะเล็กลงเรื่อยๆ ส่วนที่แบ่งให้ผู้ช่วยก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่าเรื่องนี้เหล่าผู้ช่วย-โบรกเกอร์ก็รู้ดี ยิ่งซื้อขายบ่อยเค้ายิ่งชอบ พวกนี้เค้ามีวิธีกระตุ้นหลายวิธี
เวลาผ่านไป เมื่อสมาชิกในครอบครัวส่วนใหญ่เริ่มรู้สึกตัวว่าเล่นเกม “ฉวยโอกาสจากพี่น้อง” ไม่ค่อยกำไรเท่าไหร่ ก็มีกลุ่มผู้ช่วยกลุ่มใหม่โผล่เข้ามา ผู้ช่วยกลุ่มนี้ไปอธิบายกับสมาชิกแต่ละคนว่าด้วยตัวเขาคนเดียวไม่สามารถจะเอาชนะญาติคนอื่นในครอบครัวได้ กลุ่มผู้ช่วยเสนอทางแก้ “จ้างผู้จัดการสิ ใช่ พวกเรานี่แหละ ของแบบนี้มันต้องให้มืออาชีพจัดการ” กลุ่มผู้ช่วย-ผู้จัดการนี้ก็ยังต้องใช้กลุ่มผู้ช่วย-โบรกเกอร์ในการทำธุรกรรมซื้อขาย กลุ่มผู้จัดการบางทีก็ซื้อขายถี่ขึ้นเพื่อให้กลุ่มโบรกเกอร์กำไรมากขึ้นไปอีก โดยภาพรวมแล้ว ชิ้นส่วนเค้กก้อนใหญ่ขึ้นละหายไปกับการจ้างผู้ช่วยสองกลุ่มนี้
นานๆไปครอบครัวก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้น สมาชิกแต่ละคนตอนนี้ก็จ้างมืออาชีพของตัวเองละ แต่โดยรวมแล้วสถานะทางการเงินของทุกคนแย่ลงกว่าเดิม จะทำยังไงดีน่ะเหรอ แน่นอนก็ต้องหาคนช่วยเพิ่มสิ
ความช่วยเหลือมาในรูปของที่ปรึกษาทางการเงิน มาเพื่อช่วยสมาชิกครอบครัวสยามให้คำแนะนำการเลือกผู้ช่วย-ผู้จัดการ สมาชิกครอบครัวที่กำลังมึนก็ยินดีที่มีคนมาช่วย มาถึงตอนนี้สมาชิกครอบครัวรู้ละว่าพวกเขาเลือกหุ้นเองไม่ถูกและก็เลือกผู้จัดการที่มาเลือกหุ้นให้ไม่ถูกด้วย ถ้าคนเอะใจนึกได้ก็จะถามว่าแล้วทำไมพวกเขาถึงคิดว่าจะเลือกที่ปรึกษาได้ถูกล่ะ แต่สมาชิกครอบครัวก็ไม่มีใครเอะใจถาม และกลุ่มผู้ช่วย-ที่ปรึกษาก็จะไม่ทักเรื่องนี้ขึ้นมาด้วย
ครอบครัวสยามตอนนี้กำลังเลี้ยงกลุ่มผู้ช่วยสามกลุ่ม และพบว่าผลลัพธ์ที่ได้แย่ลงกว่าเดิม ในขณะกำลังดูเหมือนไม่มีหวัง ก็มีกลุ่มที่สี่โผล่มา เราจะเรียกกลุ่มนี้ว่าผู้ช่วย-ไฮเปอร์ กลุ่มนี้บอกกับคนครอบครัวสยามว่าที่ผลตอบแทนยังไม่เป็นที่น่าพอใจ ก็เพราะกลุ่มผู้ช่วยสามกลุ่มเดิมโบรกเกอร์, ผู้จัดการ, ที่ปรึกษา ไม่ได้มีแรงจูงใจมากพอจะทำผลงานให้ดี พวกนั้นแค่ทำตามน้ำไปงั้นๆ ผู้ช่วยกลุ่มใหม่ถามว่า “คุณจะไปคาดหวังอะไรได้จากพวกซอมบี้พวกนี้”
ผู้ช่วย-ไฮเปอร์เสนอทางแก้ที่ง่ายจนน่าตกใจ พวกคุณแค่ต้อง “จ่ายเงินเพิ่มขึ้น” เท่านั้นเอง ผู้ช่วยกลุ่มนี้อธิบายอย่างมั่นใจว่าการจ่ายค่าธรรมเนียมสูงๆตามผลงาน บวกกับค่าธรรมเนียมตายตัวที่สูงด้วย เป็นอะไรที่สมาชิกครอบครัวต้องกล้าที่จะจ่ายเพื่อให้สามารถเอาชนะญาติๆของตัวเองได้
สมาชิกครอบครัวบางคนที่ช่างสังเกตหน่อยก็จะเห็นว่า ผู้ช่วย-ไฮเปอร์บางคนจริงๆก็คือผู้ช่วย-ผู้จัดการที่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเท่านั้นเอง ตอนนี้ที่เสื้อจะเขียนชื่อฟังเท่ๆเช่น Hedge fund หรือ Private Equity ผู้ช่วยกลุ่มใหม่นี้บอกกับสมาชิกครอบครัวที่ช่างสังเกตพวกนี้ว่าการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่มาเนี่ยสำคัญมาก เสื้อผ้าชุดนี้เหมือนเสื้อวิเศษที่ทำให้ผู้ใส่เก่งขึ้นกว่าเดิมมาก ประมาณว่าเหมือนคลาร์ก เค้นต์ คนธรรมดาแปลงร่างตอนเปลี่ยนมาใส่ชุดซุปเปอร์แมน สมาชิกครอบครัวได้ยินแบบนั้นก็สบายใจ ยอมจ่ายเงินให้ผู้ช่วย-ไฮเปอร์
และนั่นคือจุดที่เราอยู่ทุกวันนี้ กำไรจำนวนมากที่ควรจะเป็นของผู้ถือหุ้นเจ้าของบริษัทถ้าได้อยู่นิ่งๆสงบๆ ก็กลายเป็นไปจ่ายให้กับกลุ่มผู้ช่วยที่มีจำนวนเยอะขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงหลังมานี้จ่ายแพงเป็นพิเศษเพราะลักษณะค่าธรรมเนียมที่ทำให้ผู้ช่วยได้ส่วนแบ่งเยอะมากจากกำไรถ้าเค้าฉลาดหรือโชคดี แต่ในกรณีที่ขาดทุนเพราะผู้ช่วยโง่หรือโชคไม่ดี ภาระทั้งหมดก็จะถูกทิ้งไว้กับคนลงทุน แล้วยังมีค่าธรรมเนียมคงที่ที่สูงมากซ้ำเข้าไปอีกเป็นค่าที่จ่ายให้ผู้ช่วยนี้มาช่วย
นิทานเรื่องนี้จบตรงนี้ ไม่รู้ว่าอ่านแล้วได้ข้อคิดอะไรหรือเปล่า แต่ส่วนตัวผมว่าตลกดีนะ และปัจจุบันนักลงทุนหลายคนก็กำลังเป็นแบบครอบครัวสยามนี้อยู่จริงๆด้วย