ยกตัวอย่าง บริษัทดูดีแต่ไม่ดีจริง
มีนักเรียนที่เค้าอยากให้ยกตัวอย่างกรณีบริษัทที่เหมือนจะดีแต่ไม่ดีจริง ซึ่งผมเข้าใจว่าเค้ากำลังถามถึงกรณีที่บริษัทตัวเลขผลประกอบการออกมาดีแต่ตัวบริษัทไม่ได้เป็นบริษัทที่เข้มแข็งและดังนั้นในภายหลังผลประกอบการก็แย่ลง วันนี้เรามาพูดถึงกรณีแบบนั้นกันว่าเป็นเพราะอะไรได้บ้าง
โดยภาพรวมแล้ว การดูตัวเลขผลประกอบการย้อนหลังหลายๆปีว่าทำได้ดีสม่ำเสมอหรือเปล่ามันก็ตัดบริษัทกลุ่มแย่ออกไปได้เยอะแหละ เพราะบริษัทกลุ่มแย่ส่วนใหญ่ผลประกอบการก็จะแกว่งรุนแรงไม่สม่ำเสมอ แต่ทีนี้การพึ่งพาตัวเลขผลประกอบการเฉยๆแล้วสรุปบางทีเราก็โดนหลอกได้ จากประสบการณ์ผมแล้วก็จะมีกรณีต่างๆดังต่อไปนี้
1. งบการเงินหลอก
อันนี้ก็ตรงไปตรงมา นานๆทีมันก็มีกรณีที่บริษัทเค้าจงใจโกหกแต่งงบบัญชี รายงานรายได้สูงเกินจริงมั่ง หรือจัดหมวดค่าใช้จ่ายให้ยังไม่รับรู้บ้าง กรณีพวกนี้เกิดขึ้นไม่บ่อย แต่ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้การดูตัวเลขผลประกอบการเฉยๆว่าดูดีแล้วอาจจะผิดพลาดได้
ตัวอย่าง case ก็พวกที่เป็นข่าวดังอยู่ก่อนหน้านี้เช่น Luckin Coffee, Wirecare, Lookers, ฯลฯ
2. บริษัทที่บังเอิญสินค้าได้รับความนิยมอยู่ช่วงหนึ่ง
ในบางครั้งมันก็จะมีบริษัทที่สินค้าจู่ๆคนนิยมขึ้นมาแต่แล้วซักพักความนิยมหายไปคนเลิกเห่อก็จบ กรณีแบบนี้บริษัทก็ขายดีจริง แต่ปัญหาคือมันเป็นความนิยมแค่วูบเดียว ส่วนใหญ่พวกนี้มักจะเจอกับหุ้นที่เป็นแฟชั่น
ตัวอย่างก็เช่น Beauty Community, Crocs, ฯลฯ
3. บริษัทโชคดีอยู่ในธุรกิจที่โตพอดี
กลุ่มนี้เจอบ่อยสุด ในบางครั้งเราก็จะเจอบริษัทที่ดูทำได้ดีมากต่อเนื่องกันหลายปี โดยที่จริงๆแล้วก็อาจจะไม่ได้เป็นบริษัทที่เก่งอะไรเป็นพิเศษแค่ว่าโชคดีอยู่ในอุตสาหกรรมหรือสถานการณ์ที่เติบโตพอดีก็เป็นไปได้
ตัวอย่างง่ายๆก็อย่างเช่นหุ้นที่ทำคอนโดในไทย ช่วงหลายปีที่ผ่านมาตอนคอนโดบูม บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ทำคอนโดก็ดูดีหมดน่ะครับ แน่นอนว่าก็จะมีบางบริษัทที่ทำได้ดีกว่าเพื่อนและเก่งจริงแหละ และมันก็จะมีที่ไม่ค่อยเก่งปนอยู่ด้วยผมเชื่อ แต่ในเวลาที่ทุกคนโตเหมือนกันหมดมันก็จะดูไม่ค่อยออกแยกแยะลำบาก
ตัวอย่างเช่นหุ้นกลุ่มธนาคารในจีน ถ้าเราไปดูงบการเงินย้อนหลังจะพบว่าธนาคารในจีนเกือบทั้งหมดดูทำได้ดีมากทั้งหมด อันนี้แปลว่าธนาคารในจีนเก่งมากทุกธนาคารเหรอ ก็ไม่น่าเป็นไปได้ป้ะ แต่ที่ดูทำได้ดีมากทั้งหมดก็เป็นเพราะประเทศจีนโดยรวมหลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้นน่ะครับ ถ้าเวลาผ่านไปถึงจุดหนึ่ง ยังไงก็ต้องมีผู้ชนะหรือแพ้โผล่มาแน่นอน ต้องมีบางธนาคารที่ทำได้ดีต่อไปและบางธนาคารที่เจ๊ง แต่ในเวลาที่ประเทศยังโตอย่างเร็วอยู่มันก็จะดูไม่ค่อยออก
หรืออีกตัวอย่างนึงก็เช่น กลุ่มบริษัทที่ให้บริการขนส่งแบบรถบรรทุกหรือพวก Less-Than-Truckload ในอเมริกาที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการขายสินค้า online อย่างเช่น Knight-Swift Transportation, Schneider National, Old Dominion Freight Line, ฯลฯ พวกนี้ก็จะดูผลประกอบการดีหมดเหมือนกันในช่วงที่ผ่านมา ทั้งที่บริการหลักๆคือการเอารถบรรทุกวิ่งส่งของซึ่งยังไงก็มีการแข่งขันกันสูงและแข่งกันด้วยราคาเป็นหลัก
สรุป
ที่คุยไปนี่ก็คือตัวอย่างกรณีที่เราอาจจะเจอบริษัทที่เหมือนจะดีแต่ไม่ดีจริง อาจจะแค่โชคดีเฉยๆและอาจจะไม่ได้ยั่งยืนเท่าไหร่ ดังนั้นการตัดสินว่าบริษัทดีแน่นอนจากการแค่ดูงบการเงินเฉยๆมันถึงไม่เวิร์คไง คนเค้าถึงบอกว่าให้พยายามทำความเข้าใจบริษัทเพื่อจะได้ชัวร์ว่ามันเป็นบริษัทที่มีความได้เปรียบจริงๆน่ะครับ
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ
หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂
ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/
หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg
ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/
หรือ ทดลองเรียนฟรี