เรื่องสำคัญสุดคือความเข้าใจเกี่ยวกับบริษัท อย่ามัวแต่เสียเวลามากไป กับการประเมินมูลค่าหรืองบการเงิน
หลังๆนี้ผมเริ่มสังเกตว่ามีนักเรียนผมหลายคนดูจะใช้เวลาวนเวียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่เกิดประโยชน์เยอะไป เช่นบางคนก็อินกับ valuation มาก พยายามหาวิธีการนู่นนี่ที่ซับซ้อนเพราะคิดว่ามันจะทำให้เดาได้แม่นยำมากขึ้น หรือไม่ก็กำลังงมอยู่ว่าวิธีการไหนใช้เมื่อไหร่แล้วอันไหนแม่นกว่ากัน ส่วนอีกกลุ่มนึงก็อินกับเรื่องบัญชีมาก คือเก็บรายละเอียดปลีกย่อยสุดๆแบบประมาณพวกที่รู้เพื่อไปสอบ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรในสาระสำคัญ เช่น การ capitalized cost อย่างค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเข้าไปเวลาบริษัทสร้างตึกคืออะไรบันทึกยังไง หรือบริษัทที่มีทำธุรกิจในหลายประเทศรายการบนงบการเงินแปลงอัตราแลกเปลี่ยนยังไง อะไรแบบนี้เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ผมมองว่ามันเป็นการใช้เวลาที่เปล่าประโยชน์มาก
จนผมรู้สึกว่าต้องพยายามช่วยจัด priority เรียงลำดับความสำคัญให้ โดยรวมมันจะมีหัวข้อหลักๆอยู่ 3 เรื่องที่เราต้องศึกษาเวลาลงทุนในหุ้น
- เรื่องเกี่ยวกับตัวบริษัท
- การบันทึกบัญชี งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ
- การประเมินมูลค่าหรือผลตอบแทน
ใน 3 หัวข้อนี้ ความสำคัญมันเรียงตามลำดับนั้นเลย
การประเมินมูลค่า เป็นอะไรที่คนดูจะอินสุด แต่จริงๆความสำคัญน้อยสุดเลย คนส่วนใหญ่พยายามจะหาความมั่นใจมากขึ้นจากการที่ใช้วิธีการคำนวณที่ละเอียดซับซ้อน ซึ่งผมก็เข้าใจความรู้สึกนะ ถ้ามันมีวิธีการที่ทำให้เราทำนายอนาคตได้แม่นยำมากขึ้นมันก็ดี แต่สุดท้ายต้องอย่าลืมว่ามันไม่มีวิธีการอะไรที่ทำนายอนาคตได้ แม้แต่เจ้าของบริษัทเลยคุณว่าเค้ารู้เลยมั้ยว่าปีหน้ายอดขายกับกำไรจะเป็นเท่าไหร่อย่างชัดเจน แล้วลองนึกภาพดูนะ คุณกับผมซึ่งมองจากมุมของคนนอกบริษัทอีกต่างหาก เราจะสามารถเดาไปในอนาคตว่าบริษัทจะโตกี่ % ไปถึง infinity แล้วคิดลดตัวเลขพวกนั้นกลับมา เราจะทำแบบนั้นได้อย่างแม่นยำเป็นไปได้จริงเหรอครับ คุณก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ป้ะ ดังนั้นในเมื่อยังไงมันก็ไม่มีคำว่าแม่นยำ วิธีการประเมินมูลค่าใดๆมันเอาไว้สำหรับกะคร่าวๆว่าตอนนี้หุ้นถูกหรือแพงเท่านั้น คุณจะใช้วิธีการไหนก็ได้เอาที่มันดูสมเหตุสมผลสำหรับคุณก็โอเคละ
ส่วนเรื่องการบันทึกบัญชี การเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยบนงบบัญชีมันก็ดี แต่มากไปถึงจุดนึงมันจะเริ่มเกินความจำเป็นละ มันไม่ได้ช่วยให้เราเข้าใจตัวบริษัทได้ดีขึ้นน่ะครับ อย่าง capitalized cost งี้คือเรารู้ว่าบริษัทสามารถจะบันทึกค่าใช้จ่ายอย่างดอกเบี้ยที่จ่ายไปตอนช่วงสร้างตึกเป็นส่วนหนึ่งของ fixed asset แล้วค่อยๆทยอยรับรู้เป็นค่าใช้จ่ายผ่านการตัดค่าเสื่อม แล้วยังไงอ่ะ รู้แบบนี้แล้วทำให้เราตัดสินใจได้ดีขึ้นยังไง หรือสมมติอย่างเรารู้วิธีการบันทึกบัญชีเวลาบริษัททำธุรกิจในหลายประเทศงี้ เรารู้ว่ามันใช้วิธีต่างกันแล้วแต่ว่าสกุลเงินไหน สกุลเงินต่างประเทศหรือสกุลเงินบริษัทแม่เป็นสกุลเงินที่ใช้งาน แล้วยังไงอ่ะ
เรื่องงบการเงินนี่เอาแค่เข้าใจรายการหลักๆบนนั้น เข้าใจว่างบการเงินแต่ละอัน income statement, balance sheet, cash flow statement ต้องการจะบอกอะไรกับเรา ดูเสร็จแล้วรู้เรื่องว่าบริษัทรายได้เท่าไหร่จ่ายเรื่องอะไรไปสุดท้ายกำไรมั้ย เก็บเงินได้ป่าว มีใช้เงินสดไปกับเรื่องอะไรบ้าง หนี้สินเยอะมั้ย มีอะไรเพิ่มขึ้นหรือลดลงเยอะจนผิดสังเกตหรือเปล่า แล้วก็รู้จักอัตราส่วนทางการเงินสำคัญๆ เท่านั้นเพียงพอแล้วครับ อย่าไปเสียเวลากับเรื่องการบันทึกบัญชีเยอะเกินไป การอ่านงบการเงินหลักๆเอาไว้คอนเฟิร์มภาพของบริษัทที่เราศึกษามาว่ามันสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันมั้ย มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า อย่าลืมว่าพวกนี้มันแค่บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วเท่านั้นเอง มันไม่ได้ช่วยให้เรารู้เลยว่าบริษัทจะทำได้ดีต่อไปในอนาคตหรือเปล่า
เรื่องที่เราควรจะใช้เวลากับมันจริงๆ
เรื่องที่เราควรจะใช้เวลากับมันจริงๆเลยคือเรื่องของบริษัทครับ เราควรจะอยากรู้ว่าบริษัททำอะไรเป็นไงมั่งอย่างละเอียด และเราควรจะอยากรู้ว่าปัจจัยอะไรทำให้มันเป็นแบบนั้น อะไรทำให้มันทำได้ดีสม่ำเสมอ หรืออะไรทำให้มันทำได้แย่ลง และเราก็ควรจะอยากรู้ว่าบริษัทมีแผนจะทำอะไรต่อหรือกำลังทำอะไรอยู่ เพราะสุดท้ายเราต้องการจะรวบรวมทั้งหมดสรุปสุดท้ายว่าในอนาคตเราเชื่อว่ามันจะทำได้ดีขึ้นหรือแย่ลงหรือเท่าๆเดิม เพราะว่าอะไร และเราใช้ข้อสรุปอันนี้ในการตัดสินใจประกอบกับราคาหุ้นว่าเราควรจะลงทุนในบริษัทนี้หรือเปล่า
ถ้าเราทำ part สำคัญที่สุดนี้ได้ถูกต้องนะ เกือบจะกำไรแน่นอนละ มากหรือน้อยเท่านั้นเองขึ้นกับว่าซื้อมาได้ถูกแค่ไหน แต่ถ้า part นี้เราพลาดนะ อนาคตบริษัททำได้แย่ลงเรื่อยๆนะ ไม่ต้องห่วงครับ ยังไงก็เละ งบการเงินก่อนหน้านี้จะดีแค่ไหนไม่ใช่สาระละ งบการเงินอันต่อๆมามันก็จะดูอนาถขึ้นเรื่อยๆ เพราะงบการเงินมันบันทึกอดีตที่ผ่านไปแล้ว และการประเมินมูลค่าก็ไม่ช่วยอะไรอยู่ละ เพราะสมมติฐานเราผิดแต่แรกละไง เราคิดว่าบริษัทมันจะดีแต่เราพลาด ตัวเลขที่ได้จากการเดาอนาคตผิดๆก็เท่ากับขยะทั้งนั้นน่ะครับไม่ว่าจะใช้สูตรคำนวณยากขนาดไหนก็ตาม
ผมจะบอกว่ามีเพื่อนผมคนนึงนะ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก งบการเงินเค้าดูคร่าวๆยังบ่นอยู่ว่าดูละเอียดมากไม่เป็น ส่วน valuation นี่คือไม่สน DCF อะไรทั้งนั้นใช้ดู P/E อย่างเดียว การตัดสินใจเน้นดูที่ตัวบริษัทดู fundamental อย่างเดียว เพราะเพื่อนผมคนนี้เค้าเป็นคนทำธุรกิจ เค้ามองการซื้อหุ้นเป็นการซื้อบริษัท เวลาดูคือดูว่าอนาคตธุรกิจน่าจะไปได้มั้ยอย่างจริงจัง model ธุรกิจแข่งขันได้หรือเปล่า ได้เปรียบคู่แข่งยังไง แล้วก็ซื้อที่ P/E มันไม่เว่อร์ไปก็เท่านั้นเอง ตั้งแต่เค้าเริ่มลงทุนมาผมก็เห็นว่ากำไรตลอดครับ ทำได้ดีเลยแหละ
ดังนั้นสรุปอีกที เอาเวลาศึกษาเกี่ยวกับตัวธุรกิจของบริษัทครับ ทำไงให้เราเห็นภาพว่าบริษัทมีความได้เปรียบยังไงดีกว่า อย่ามัวไปงมงายกับ valuation ที่ยังไงมันก็ไม่แม่น หรืออย่าไปเสียเวลากับรายละเอียดการบันทึกบัญชีปลีกย่อยที่รู้ไปก็เท่านั้น เอาไปสอบได้อย่างเดียว มันไม่ทำให้คุณลงทุนได้ดีขึ้นนักหนาหรอกผมพูดจริงๆ
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ
หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂
ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/
หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg
ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/
หรือ ทดลองเรียนฟรี