เวลาเราซื้อหุ้นอะไรซักตัวหนึ่ง หรือกำลังให้ความสนใจติดตามหุ้น ก็เป็นธรรมดาที่เราจะเช็คข่าวคราว คอยเปิดดูราคาความเคลื่อนไหวอยู่เป็นระยะ เลยทำให้บางทีเราก็หวั่นไหวหรือตื่นเต้นไปกับปัจจัยระยะสั้นได้ และตรงเนี้ยแหละที่มักจะทำให้เราตัดสินใจพลาดได้
ผมได้ข้อคิดจากช่วงปี 2008 ตอนที่มันมีวิกฤติเศรษฐกิจในอเมริกาครับ ซึ่งมาจากการที่ธนาคารปล่อยเงินกู้ซื้อบ้านไปเยอะมากเลย แต่ลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย ตอนปีนั้นราคาหุ้นโรงพยาบาลระดับบนตัวหนึ่งที่ผมถืออยู่ตกลงเยอะมาก โรงพยาบาลนี้ส่วนใหญ่รับลูกค้าต่างชาติจากตะวันออกกลาง ราคาตกลงฮวบฮาบ ซึ่งในตอนแรกผมก็ตกใจมากเพราะเรามองใกล้ เรามองเห็นแค่ว่าเศรษฐกิจไม่ดี ข่าวไม่ดี หุ้นตก ฯลฯ เกือบขายไปแล้วตอนนั้น
แต่พอได้สตินึกดูดีๆ จริงๆการที่ลูกหนี้ไม่จ่ายเงินในอเมริกา แล้วทำให้เศรษฐกิจอเมริกามีปัญหา มันเกี่ยวอะไรกับคนไม่ไปหาหมอ ? คนต่างชาติที่เค้ามาโรงพยาบาลในไทยนี่เค้ามาเพราะค่ารักษาพยาบาลที่ประเทศเราถูกกว่าเค้ามากนี่หว่า จริงๆถ้าเงินไม่พอก็ยิ่งต้องมาทางเราป้ะ
พอเลิกมองการณ์ใกล้ ก็เลยไม่แตกตื่น ก็เลยถือหุ้นนั้นข้ามปีวิกฤติมา ก็เลยได้ขายไปในราคา 400% กว่าๆจากที่ซื้อมา แล้วไม่พอแค่นั้น พอคิดได้ว่าวิกฤติเงินกู้ซื้อบ้านในอเมริกา ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการที่คนไทยไม่ไปดูหนัง ก็เลยซื้อหุ้นโรงหนังที่ราคาตกฮวบฮาบติดมือมาด้วย แล้วสองปีหลังจากนั้นก็เลยขายไปตอนราคา 200% ของตอนซื้อ
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าเผลอมองการณ์ใกล้ บางทีเราต้องใจเย็นลง ถอยมาก้าวหนึ่ง มองภาพองค์รวมให้ออก มองไปไกลๆหน่อย และถ้าสายตาสั้นก็ตัดแว่นซะครับ