เวลาตลาดหุ้นตกผมสังเกตว่าบริษัทพวกที่ทำธุรกิจบริหารจัดการกองทุนจะราคาตกเยอะเป็นพิเศษ น่าจะเพราะช่วงหุ้นตกคนจะขายหน่วยลงทุนในกองทุนรวมออกมา ทำให้บริษัทกลุ่มนี้ซึ่งรายได้มาจากค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการทรัพย์สินได้รับผลกระทบมากกว่ากลุ่มอื่นราคาหุ้นเลยมักจะตกรุนแรง วันนี้เลยมาพูดถึงหนึ่งในบริษัทกลุ่มนี้ที่ผมกำลังให้ความสนใจครับ
As of December 1, 2018 ราคาหุ้นอยู่ 49.32 USD
ลักษณะธุรกิจ
Principal Financial Group แต่แรกเริ่มเดิมทีทำธุรกิจประกันชีวิตตั้งแต่ปี 1879 แล้วค่อยๆขยายเติบโตขึ้นมาจนถึงปัจจุบันทำธุรกิจหลักๆคือบริหารจัดการกองทุนและประกัน มีการแบ่งสายธุรกิจออกเป็นกลุ่มหลักดังต่อไปนี้
- Retirement and Income Solutions
อันนี้คือขายสินค้าและบริการที่เกี่ยวกับกองทุนเพื่อการเกษียณ (กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) เช่น พวกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของอเมริกาทั้งแบบ 401(k), 403(b) และกองทุนแบบกำหนดผลประโยชน์ (defined benefit plans)
เน้นกลุ่มลูกค้าในอเมริกาโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กและกลาง
กำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีของธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 41.7% ของทั้งหมด
- Principal International
อันนี้คือบริหารจัดการกองทุนรวมและพวกกองทุนเพื่อการเกษียณ โดยเข้าไปร่วมทุนกับธนาคารในประเทศนั้นๆตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนขึ้นมา แล้วขายกองทุนรวมและอื่นๆผ่านบริษัทนั้นอีกที อย่างเช่นในไทยนี่ก็จะเป็นร่วมกับ CIMB ซึ่งคือ CIMB-Principal Asset Management Company Limited นี่เอง ถ้าคุ้นเคยกับกองทุนรวมน่าจะเคยได้ยินกองทุนของ CIMB ที่ขึ้นต้นชื่อประมาณนี้น่ะแหละครับ
มีกองทุนหลายประเภทเหมือนบริษัทจัดการกองทุนทั่วไปนี่แหละเช่นกองทุนหุ้น, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์ทางเลือกอื่นๆ
กำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีของธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 11.9% ของทั้งหมด
- Principal Global Investors
อันนี้คือขายบริการการจัดการกองทุนคล้ายๆกับข้างบน เพียงแต่อันนี้ขายผ่านบริษัทอื่นที่ Principal ไม่ได้มีเข้าไปเป็นเจ้าของร่วม
กำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีของธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 26.6% ของทั้งหมด
- US Insurance Solutions
อันนี้ก็คือพวกประกันทั้งหลาย มีแบบทั้งประกันรายบุคคลกับประกันกลุ่ม แต่หลักๆก็จะเน้นขายประกันกลุ่มกับบริษัทขนาดเล็กและกลางน่ะแหละ
สินค้าก็จะมีอย่างเช่นประกันทำฟันกับสายตา, ประกันชีวิตกลุ่ม, ประกันคุ้มครองกรณีทุพพลภาพ
กำไรจากการดำเนินงานก่อนภาษีของธุรกิจกลุ่มนี้คิดเป็นประมาณ 19.8% ของทั้งหมด
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัททำได้ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยตัวบริษัทเองเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ
เข้าใจว่าเหตุผลหลักคือเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้นในช่วงหลังปีวิกฤติ 2008 และตลาดหุ้นทั่วโลกที่ขยับตัวสูงขึ้น คนเลยเข้ามาลงทุนในตราสารทุนมากขึ้น และเลยทำให้บริษัทนี้ซึ่งเป็นบริษัทบริหารจัดการกองทุนพลอยได้ประโยชน์ไปด้วยเพราะเงินลงทุนจำนวนมากก็จะเข้ามาลงทุนในกองทุนรวม
แล้ว Principal Financial Group ก็ดันบริหารจัดการกองทุนได้ดีซะด้วย อ้างอิงจาก Morningstar ที่ปกติเป็นเวปที่จัดเรทติ้งให้กองทุน ปรากฎว่ามากกว่า 50% ของกองทุนที่บริหารโดยบริษัทนี้ได้รับเรทติ้ง 4 หรือ 5 ดาวจาก Morningstar ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะในธุรกิจนี้ผลงานระยะยาวของกองทุนจะเป็นตัวกำหนดว่าบริษัทจะทำได้ดีหรือเปล่า
ยิ่งช่วงปี 2017 ที่ผ่านมาที่ Donald Trump มีนโยบายลดภาษีเข้าไปอีก กำไรของ Principal Financial Group ก็เลยกระโดดพรวดเลย
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ช่วงนี้หุ้น Principal Financial Group ราคาตกลงมาเยอะมาก และราคาถูกมากจนเริ่มน่าสนใจ
เหตุผลหลักเลยที่ทำให้คนตกใจเทขายหุ้นบริษัทนี้ผมเข้าใจว่ามีปัจจัยหลักอยู่ 2 อย่างคือ
- ตลาดหุ้นทั่วโลกตก
ไม่ว่าตลาดหุ้นจะตกด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่จะมีสาระหรือไม่มีสาระก็ตาม ถ้าตลาดหุ้นตกแปลว่านักลงทุนจะเทขายหุ้นหรือกองทุนที่ตัวเองลงทุนอยู่แล้วถือเงินสดเพิ่มขึ้น อันนี้ถ้ารุนแรงก็จะมีผลทำให้บริษัท Principal Financial Group ผลประกอบการแย่ลงแน่นอน เพราะรายได้จากค่าธรรมเนียมบริหารจัดการกองทุนก็จะน้อยลง นักลงทุนส่วนใหญ่ที่ถือหุ้นบริษัทก็รู้และเข้าใจปัจจัยเรื่องนี้ ดังนั้นในช่วงที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้นตกก็ทำให้คนกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อบริษัทไม่มากก็น้อย
แล้วแนวโน้มในอนาคตก็ยังมีโอกาสที่หุ้นอาจจะตกเพิ่มขึ้นได้จากปัจจัยเยอะแยะไปหมด เช่นกำแพงภาษีที่สหรัฐอเมริกากับจีนกำหนดว่าจะเพิ่มตอนปีใหม่ถ้าคุยตกลงกันไม่ได้, Brexit แบบที่ no deal, ธนาคารกลางปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นแล้วจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว, ฯลฯ
- อัตราดอกเบี้ยที่กำลังปรับเพิ่มขึ้น
อัตราดอกเบี้ยช่วงที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะธนาคารสหรัฐอเมริกาเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้นหลังเห็นว่าเศรษฐกิจในอเมริกาเริ่มดีขึ้นและไม่ต้องการให้เติบโตเกินจนกลายเป็นฟองสบู่
ต้องเข้าใจว่าบริษัทอย่าง Principal Financial Group ที่มีการขายสินค้าที่ภาระผูกพันยาวๆอย่างประกันชีวิตหรือพวกกองทุนที่กำหนดผลประโยชน์ไม่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยผันผวน ดีที่สุดเลยคือให้ดอกเบี้ยคงที่บริษัทพวกนี้ถึงจะประมาณการรายได้ค่าใช้จ่ายได้ง่าย อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างรวดเร็วไม่ดีต่อบริษัทนี้
อย่างถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น บริษัทก็จะต้องเสนอขายกองทุนหรือสินค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นตามไม่งั้นคนก็ไม่ซื้อ แล้วถ้าผลตอบแทนที่บริษัททำได้สูงขึ้นไม่ทันกับที่เสนอให้นักลงทุนก็แปลว่าบริษัทก็จะได้รับส่วนต่างของกำไรน้อยลง หรืออาจจะขาดทุน
ยิ่งถ้าอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ถือกรมธรรม์หรือลงทุนอยู่กับบริษัทแต่เดิมก็อาจจะถอนหรือยกเลิกสัญญาเพราะต้องการเอาเงินออกมาไปลงทุนในอย่างอื่นที่ผลตอบแทนสูงกว่า เป็นผลให้บริษัทอาจต้องขายทรัพย์สินอย่างตราสารหนี้ที่ลงทุนไว้ออกมาเพื่อคืนเงินให้กับลูกค้า โดยที่ตัวมูลค่าของทรัพย์สินทางการเงินนั้นๆมูลค่าก็จะลดลงด้วยเพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น
โดยภาพรวมแล้วผมมองว่าสิ่งที่คนกังวลก็มีเหตุลอยู่แหละ เพราะมันเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานของธุรกิจจริงๆ แต่ถ้ามองเทียบกับราคาที่ตกลงมารุนแรงนี้ผมว่ามันตกใจเว่อร์เกินไปนะ ถ้าเราซื้อที่ราคาประมาณนี้ก็คิดว่าปลอดภัยพอสมควรเลยทีเดียว
คิดง่ายๆว่าเรื่องที่ลดภาษีเป็นเรื่องถาวร ดังนั้นผลประกอบการย้อนหลังไปไกลอาจไม่ค่อยมีประโยชน์เราใช้ผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2018 นี้ลองประมาณดู กำไรต่อหุ้นของบริษัทสำหรับ 9 เดือนปีนี้อยู่ $4.52 ถ้าสมมติว่าจนถึงสิ้นปีทำได้ใกล้เคียงเดิมแปลว่ากำไรต่อหุ้นทั้งปีจะเป็น $6.03 แล้วสมมติว่าด้วยหุตการณ์อะไรก็แล้วแต่ทำให้กำไรหายไปซัก -40% เลยมันจะเหลือ $3.62 เทียบกับราคาหุ้นตอนนี้ $49.32 เท่ากับอัตราส่วนกำไรต่อหุ้น 7.33%
จะเห็นว่าก็ยังถือว่าดีทีเดียวทั้งที่เราสมมติกำไรหดไปตั้งเกือบครึ่ง ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมกำลังให้ความสนใจในเวลานี้ครับ
Disclosure
ปัจจุบันผมไม่ได้ถือหุ้นใน Principal Financial Group แต่มีโอกาสสูงที่จะลงทุนใน Principal Financial Group ในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราคาตกลงไปอีก
ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้