ทุกเคส มันมาจากแนวทางการลงทุนแแบบเดียวซึ่งคือ Opportunistic VI ผมเล็งซื้อบริษัทที่เข้มแข็งในเวลาที่มันราคาตกผิดปกติจากสิ่งที่ผมมองว่าเป็นปัญหาชั่วคราวหรือไม่ก็คนตกใจกันไปเอง
ก่อนอื่นผมอยากจะให้เรานึกตามดูก่อน สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วมันเกิดขึ้นไปแล้วครับ สมมติเราซื้อหุ้นบริษัท A แล้วราคามันตกลงมา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วการกระทำใดๆของเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตที่เกิดไปแล้วได้ คิดถึงมันไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรและทำอะไรไม่ได้
สิ่งที่เราควรสนใจในเวลานี้คือตอนนี้เราจะทำอะไรต่างหาก การกระทำของเราในวันนี้มีผลต่อผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นถ้าเรากำลังจะตัดสินใจว่าจะขายหุ้น A ซึ่งจริงๆไม่เกี่ยวกับว่าตอนนี้มันขาดทุนหรือมันกำไรอยู่ด้วยซ้ำนะ เราก็ต้องถามตัวเองว่าการเลือกที่จะไม่ขายหุ้น A สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคืออะไรมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง แล้วการเลือกที่จะขายหุ้น A สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคืออะไรมีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง
ถ้าเราถือหุ้น A
ข้อดีคือ
บริษัท A อาจจะผลประกอบการดีขึ้น
ราคาหุ้น A อาจจะสูงขึ้น
หรือถ้าฟลุคคือผลประกอบการไม่ดีขึ้น แต่หุ้นราคาหุ้น A อาจจะสูงขึ้น
ข้อเสียคือ
ผลประกอบการบริษัท A อาจจะแย่ลง และราคาหุ้น A ก็อาจจะแย่ลงตาม
เงินเราจะยังอยู่กับหุ้น A ไม่สามารถเอาไปทำอย่างอื่นได้ มีต้นทุนค่าเสียโอกาส
ถ้าเราขายหุ้น A
ข้อดีคือ
เราจะมีเงินสดไปทำอย่างอื่นได้
ถ้าเอาไปลงทุนในอย่างอื่น ก็จะเกิดประโยชน์ถ้าผลตอบแทนที่ได้จากการเอาไปทำอย่างอื่นสูงกว่าการถือหุ้น A
หรือไม่งั้นก็เอาไปใช้จ่ายเรื่องจำเป็นอื่นๆ
ข้อเสียคือ
พลาดโอกาสในกรณีที่หุ้น A ราคาสูงขึ้น
ไม่ว่าจะเพราะบริษัท A ผลประกอบการดีขึ้นหรือฟลุคก็แล้วแต่
พอเราคิดไปทางแนวนี้ เราก็จะพบว่าปัจจัยหลักในการตัดสินใจมันอยู่ที่ว่าถ้าขายออกมาจะสามารถไปทำประโยชน์ได้ดีกว่าถือหุ้น A ต่อไปหรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าสมมติเราศึกษาและพิจารณาแล้วพบว่าโอกาสที่บริษัท A จะผลประกอบการดีและดังนั้นราคาหุ้น A จะสูงขึ้นมันเป็นไปได้ยาก ถ้าราคาหุ้น A มันจะสูงขึ้นได้ก็น่าจะต้องหวังฟลุค อย่างนั้นขายออกมาก็เป็นเรื่องที่ดีกว่าปล่อยทิ้งไว้แน่นอน คิดได้แบบนี้เราก็จะตัดใจขายขาดทุนได้ง่ายขึ้นครับ