ช่วงตลาดขาขึ้น ต้องระวังอย่าตื่นเต้นเกินไป

Do not get too hyped up during a bull market

ช่วงตลาดขาขึ้น ต้องระวังอย่าตื่นเต้นเกินไป

ช่วงนี้รู้สึกกระแสเก็งกำไรจะมา  ผมเริ่มเห็นคนแห่เข้าไปลงทุนแบบเสี่ยงๆเยอะขึ้นเรื่อย  ตั้งแต่การเก็งกำไรหุ้น IPO ซื้อแล้วขายในวันเดียว  ไปจนถึงคนที่ซื้อคริปโตทำ farming โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไรแค่ได้ยินว่ากำไรดี  แม้กระทั่งนักเรียนเราเองผมเห็นคนเริ่มเมาไปความโลภละ  ทั้งที่ในเวลานี้ที่ตลาดหุ้นหลายประเทศ all-time high บวกกับคนดูตื่นเต้นพร้อมเสี่ยงเป็นสัญญาณว่าเราควรจะลงทุนแบบระมัดระวังด้วยซ้ำ  แต่ปัญหาคือบางทีเราก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเรากำลังโลภขาดสติอยู่  วันนี้ผมเลยอยากจะนำเสนอวิธีสำรวจตัวเองกันความผิดพลาดครับ

1. เช็คดูว่าเราสามารถอธิบายสิ่งที่ตัวเองลงทุนไปได้หรือเปล่า

หนึ่งในความผิดพลาดที่มักเกิดขึ้นเวลาเราโลภคือเราจะกระโดดเข้าไปซื้ออะไรที่จริงๆเราก็ไม่เข้าใจ  อาจจะเพราะมีเพื่อนหรือคนใกล้ตัวที่ซื้อไปแล้วกำไรเยอะ  คนอื่นๆเค้าก็ซื้อหรือพูดถึงกันดังนั้นมันก็น่าจะดีประมาณนั้น

ลองเช็คดูว่าเราเข้าใจสิ่งที่เราลงทุนไปจริงๆมั้ย  ลองพยายามอธิบายว่ามันคืออะไร  ที่เราลงทุนไปเพราะว่าอะไร  ทำไมเราถึงคาดว่าลงทุนแล้วจะทำได้ดี  อะไรคือเหตุผลที่จะทำให้มูลค่าสิ่งที่เราลงทุนไปสูงขึ้น

ถ้าสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้แค่ว่าซื้อเพราะคิดว่าราคามันจะขึ้นแค่นั้น  หรือจริงๆเราก็ไม่ได้เข้าใจหรือรู้ว่ามันดียังไงหรอกแค่ได้ยินคนบอกมาเท่านั้นเอง  เราต้องเริ่มเอะใจละว่านี่คือซื้อจากความโลภอยู่นะ  และเรากำลังเสี่ยงโดยไม่จำเป็นอยู่

2. เช็คดูว่าเงินลงทุนเรารวมอยู่ในหุ้นบริษัทเดียวหรือบริษัทที่คล้ายๆกันเยอะเกินไปหรือเปล่า

อย่าลืมว่าเราพลาดได้ต่อให้เราศึกษามาดีและมั่นใจขนาดไหนก็ตาม  ช่วงเวลาที่เรากำลังโลภความระมัดระวังเราจะลดลงโดยอัตโนมัติ  ดังนั้นปกติแล้วเราควรจะมีเกณฑ์บางอย่างที่กันไม่ให้เราพลาดจากการที่มั่นใจเกินไป  ลองเช็คดูว่าในพอร์ตมีการลงทุนในหุ้นอะไรหรือสินทรัพย์ไหนที่เยอะมากกว่าอันอื่นเยอะๆมั้ย  เช่นสมมติปกติเราถือหุ้นบริษัทละ 1 ล้านบาท  แต่มีหุ้นบริษัท A เราถืออยู่ 2.5 ล้านเป็นต้น  เราต้องเริ่มพิจารณาแล้วว่าถือ A เยอะไปมั้ย

3. เรากำลังจะต้องใช้เงินที่เราลงทุนไปหรือเปล่า

อันนี้ผมเห็นนักเรียนผมพลาดเลย  คือบางทีมันก็ด้วยความมั่นใจเกินไปหรืออะไรซักอย่างที่ทำให้เราเอาเงินที่รู้ว่าเดี๋ยวจะต้องใช้ในระยะเวลาสั้นไปลงทุน  แล้วสุดท้ายก็เลยโดนสถานการณ์บังคับให้ขายผิดเวลา  บางทีขาดทุนทั้งที่เดาทิศทางถูกแค่เพราะรอได้ไม่นานพอ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์ตลาดหุ้น และกลยุทธ์ลงทุน – มิถุนายน 2021

June 2021 market update

อัพเดทสถานการณ์ตลาดหุ้น และกลยุทธ์ลงทุน – มิถุนายน 2021

วีดิโอนี้เราแสดงความคิดเห็นตอบคำถามที่คนถามเข้ามาเกี่ยวกับภาพรวมทิศทางตลาดหุ้นครับ  โดยเราคุยไปทีละเรื่อง

ตลาดหุ้นไทยและโควิดที่ระบาดในไทย

คือผมว่ามาถึงตรงนี้เราต้องยอมรับละว่ายังไงการระบาดคงไม่ซาหายไปเองแบบที่ผ่านมาแน่  กว่าจะควบคุมการระบาดได้ก็คงต้องแบบประเทศอื่นคือต้องฉีดวัคซีนให้ได้จำนวนมากระดับหนึ่งเท่านั้น  เท่าที่ดูตัวอย่างจากอเมริกา, อังกฤษกับยุโรป  สมมติเราตั้งใจฉีดกันให้ได้เยอะๆแล้วไม่ติดเรื่องไม่มีวัคซีนเราก็น่าจะฉีดได้เยอะระดับนึงภายในสิ้นปีนี้  และแปลว่าการระบาดน่าจะควบคุมได้อย่างช้าต้นปีหน้า

ในมุมตลาดหุ้น  ดัชนีตอนนี้ก็ยังแถว 1,600 อยู่  ดูไม่ได้มีอะไรตกเยอะแยะหรือมีความตกใจในวงกว้างจากโควิดที่ระบาด  ส่วนตัวผมก็มุมมองเหมือนเดิมคือโอกาสยังหาได้อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่โดนโควิดจังๆแล้วราคาตกเยอะๆ  อย่างพวกโรงแรมกับห้าง  หน้าที่ของเราคือเลือกบริษัทที่มันน่าจะมีเงินทุนมากพอที่จะรอดและน่าจะกลับมาทำได้ดีเมื่อโควิดจบ

ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ

มีคนถามว่าถ้าเงินเฟ้อในอเมริกาสูงขึ้นมากๆ  จะทำให้ fed ลดอัตราดอกเบี้ยและหุ้นจะตกมั้ย

อันนี้ให้ดู Consumer Price index ในอเมริกา  จะเห็นว่าระดับราคาดูสูงขึ้นแหละ  แต่ยังไม่ถึงกับสูงเว่อร์เนื่องจากระดับราคามันตกลงไปตอนช่วงปี 2020

ในประเด็นเรื่องเงินเฟ้อ  ในความเห็นส่วนตัวคือผมมองว่าเงินเฟ้อที่สูงขึ้นมาจากการที่ Aggregate supply ปรับตัวไม่ทันการกลับมาของ Aggregate demand  คือถ้าเราตามข่าวเราจะเห็นว่ามีการขาดแคลนคนงานในธุรกิจต่างๆในอเมริกา  แต่เราก็เห็นว่าอัตราการจ้างงานยังไม่ฟื้นกลับไปสภาพก่อนโควิด  น่าจะเป็นสัญญาณของการปรับตัวไม่ทันของฝั่ง supply  ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจริงมันก็ไม่ควรเป็นปัญหาและเงินเฟ้อก็ไม่ควรจะเลยเถิด

แต่ทีนี้คำถามต่อมาคือ fed จะปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นหรือเปล่า  และถ้าสมมติใช่แปลว่าตลาดหุ้นจะต้องตกหรือเปล่า  ประเด็นแรกเรื่องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นนี่ผมก็เชื่อว่าเค้าจะทำเมื่อเศรษฐกิจเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกตินะ  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าคือเมื่อไหร่แต่ก็ไม่น่าจะทันทีในเดือนสองเดือนนี้เพราะภาคธุรกิจบางอันอย่างการท่องเที่ยวก็ยังไม่ฟื้น  แต่สมมติธุรกิจฟื้นเร็วกว่าคาด  ก็มีความเป็นไปได้สูงว่า fed จะเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ย  แต่นั่นแปลว่าตลาดหุ้นน่าจะต้องตกหรือเปล่า  ก็เป็นไปได้แต่ถ้าหุ้นจะตกผมก็ว่ามันน่าจะตกในธุรกิจกลุ่มที่ขึ้นไปเยอะมากก่อนหน้านี้มากกว่า  ส่วนหุ้นกลุ่มธุรกิจที่ยังไม่ฟื้นอย่างท่องเที่ยวก็ไม่น่าจะตกอะไรได้เยอะแยะในเมื่อตัวบริษัทกำลังทำได้ดีขึ้นทั้งกลุ่ม

ตลาดหุ้นอื่นๆนอกจากไทย

ก็ไม่ได้มีมุมมองอะไรเป็นพิเศษ  แต่ที่แน่ๆคือพวกประเทศที่เริ่มฉีดวัคซีนไปได้เยอะก็น่าจะทำได้ดี  หุ้นกลุ่มที่ช่วงก่อนโดนโควิดซะเละก็น่าจะเริ่มฟื้นในประเทศพวกน้ัน

ถ้าเราตามข่าวเราจะเห็นว่า US ก็เปิดให้คนในประเทศเดินทางไปมาได้แล้ว  ไม่ต้องใส่หน้ากากแล้วด้วย  และเปิดให้คนนอกประเทศเข้ามาได้ยกเว้น 35 ประเทศที่อยู่ใน list ระบาดเยอะ  ส่วนยุโรปเองตัวเลขการจองตั๋วเครื่องบินเดินทางพวกนี้ก็สูงขึ้นเแล้วด้วย  สายการบินเริ่มเพิ่มเที่ยวบิน

แน่นอนความเสี่ยงเรื่องโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็ยังมีอยู่นะ  อาจจะโผล่พรวดมาก็ได้  แต่เท่าที่เราเห็นในเวลานี้ก็สถานการณ์ดีกว่าต้นปีชัดเจน

ลงทุนไงต่อดี

ถ้าเป็นผมก็เหมือนเดิม  คือจะซื้อบริษัทที่โดนโควิดจังๆแล้วน่าจะรอด  พวกที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว, การเดินทาง, โรงเรียน, โรงแรม, ห้าง, ฯลฯ  แล้วแต่ว่าหาอะไรเข้าท่าที่ราคายังไม่ฟื้นได้  โดยโฟกัสไปที่ประเทศที่กำลังจะฟื้นก่อนอย่าง US, UK, ยุโรป  ลงทุนไว้อย่างน้อยจนกว่าธุรกิจจะฟื้นจากโควิด

หลังจากนั้นพอธุรกิจในประเทศพวกนั้นฟื้นแล้ว  แนวโน้มคือราคาหุ้นก็จะฟื้นด้วย  พอเป็นแบบนั้นผมก็จะพิจารณาขายและย้ายเงินลงทุนมายังประเทศที่ยังไม่ฟื้นต่อแต่กำลังเริ่มฉีดวัคซีนแล้ว  อย่างเช่นไทย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์, ฯลฯ  โดยมองหาหุ้นธุรกิจคล้ายๆกันแล้วก็ทำแบบเดิม

สรุปคือถ้าเป็นผม  ผมจะฉวยโอกาสจากโควิดให้เต็มที่  และฉวยโอกาสจากการที่มันฟื้นไม่พร้อมกันให้เป็นประโยชน์ให้ได้มากที่สุดน่ะครับ

ตลาดหุ้นฟื้นกันขึ้นมาแล้ว  ยังหาโอกาสได้อยู่เหรอ

ได้ชัวร์  เพราะผมยังเห็นอยู่  ที่บ่นหาไม่ได้นี่ไม่ใช่ปัญหาของตลาดละ  ปัญหามันอยู่ที่คุณนี่แหละไม่พยายามหาเอง  เอาตรงๆผมว่าช่วงนี้เป็นโอกาสที่ดีมากนะ  อาจไม่ดีเท่าต้นปีที่แล้วตอนตลาดตกหนักๆเพราะเราจะซื้อได้ถูกมาก  แต่ก็ถือว่าดีมากแล้วเพราะสถานการณ์ชัดเจนขึ้นเยอะความเสี่ยงน้อยลงเยอะ  ถ้าใครจะขี้เกียจตอนนี้ผมก็ช่วยอะไรไม่ได้

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Goodwill หรือค่าความนิยมนี่มันคืออะไร ?

What is Goodwill on a financial statement ?

Goodwill หรือค่าความนิยมนี่มันคืออะไร ?

มีคนเจอค่าความนิยมอยู่บนงบการเงินแล้วถามว่ามันคืออะไร

ค่าความนิยมหรือถ้าเป็นงบการเงินภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า Goodwill เกิดขึ้นเมื่อมีการซื้อกิจการ  แล้วบริษัทที่เป็นคนซื้อซื้อด้วยราคาที่สูงกว่าราคาตลาดของทรัพย์สินสุทธิของบริษัทที่ถูกซื้อ

เพื่อให้เห็นภาพนึกภาพงี้  สมมติบริษัท A ถูกซื้อโดยบริษัท B  บริษัท A มีทรัพย์สินสุทธิซึ่งประเมินตามราคาตลาดแล้วมูลค่า 100 บาท  แต่บริษัท B ซื้อบริษัท A ด้วยเงิน 130 บาท  อาจจะด้วยเพราะมองเห็นศักยภาพของบริษัท A ที่มากไปกว่าว่าทรัพย์สินสุทธิมีเท่าไหร่  บางทีความเจ๋งของบริษัท A อาจจะเป็นทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้เช่นชื่อยี่ห้อที่ลูกค้าเชื่อถือ, ความสร้างสรรค์ของพนักงาน, ฯลฯ  แต่เวลาจะบันทึกบัญชีจะทำไงล่ะ  ในเมื่อบริษัท B จ่ายเงิน 130 บาท  แต่ได้ทรัพย์สินมูลค่า 100 บาทมา  ส่วนต่างนั่นจะบันทึกยังไงดี  บันทึกว่าเป็นขาดทุนมั้ย  ก็ไม่น่าจะใช่นะ  ส่วนต่าง 30 บาทนั่นเค้าบันทึกว่าเป็น Goodwill ครับ

Goodwill นี่มีอายุไม่จำกัดด้วยนะ  ไม่ใช่ว่าต้องตัดจำหน่ายให้หมดภายในกี่ปีๆ  ตาม IFRS ล่าสุดคือบริษัทต้องประเมินเองว่า Goodwill มันด้อยค่าหรือเปล่า  ถ้าพบว่ามันด้อยค่าลงกว่าที่คาดก็ต้องบันทึกการด้อยค่านั้นเป็นค่าใช้จ่าย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ซื้อของออนไลน์เป็นครั้งแรกเพราะโควิด

COVID-19 forced many shoppers to make their first online purchases. But will these customers stick around?

การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ซื้อของออนไลน์เป็นครั้งแรกเพราะโควิด

อันนี้เป็นงานวิจัยที่น่าสนใจทำโดย Ayelet Israeli, Eva Ascarza และเพื่อน  เค้าพยายามจะหาคำตอบว่าคนที่แต่เดิมก่อนโควิดไม่เคยซื้อของออนไลน์มาก่อนแล้วมาเริ่มซื้อของออนไลน์เพราะโควิดมีพฤติกรรมในการซื้อต่างออกไปจากคนที่ซื้อของออนไลน์อยู่แต่แรกแล้วมั้ย  แล้วหลังจากนี้ไปเค้าจะซื้อออนไลน์ต่อไปหรือเปล่าหรือว่าจะกลับไปซื้อในร้านเหมือนเดิม  ซึ่งอันนี้เป็นคำถามที่น่าสนใจนะ  มีผลกระทบต่อพวกหุ้นที่ทำห้างสรรพสินค้าหรือค้าปลีกเยอะอยู่

งานวิจัยนี้เค้าทำโดยดูตลาดกลุ่มสินค้าเสื้อผ้าใน US กับ UK  สรุปสิ่งที่เค้าเจอคร่าวๆคือ

  1. ยอดซื้อเสื้อผ้าตกในช่วงที่มีการ lockdown เพราะโควิด  แต่หลังจากนั้นก็ฟื้นขึ้นมา
  2. ทันทีที่มีการปิดห้าง lockdown ช่วงเมษายน 2020  ก็มีลูกค้าใหม่ที่โผล่มาจากช่องทางออนไลน์เยอะขึ้น
  3. มูลค่าการซื้อต่อครั้งของคนที่เข้ามาช่องทางออนไลน์เป็นครั้งแรกในช่วงโควิดดูไม่ต่างจากคนที่ซื้อออนไลน์ปกติ  สินค้าที่ขายดีเป็นพิเศษคือชุดนอน
  4. จุดที่ดูต่างคือคนที่มาซื้อออนไลน์ครั้งแรกช่วงโควิดซื้อกางเกงน้อยกว่าคนที่ซื้อออนไลน์อยู่แล้ว
  5. ยังไม่ชัดเจนว่าถ้าสถานการณ์กลับสู่สภาพปกติคนจะกลับไปซื้อจากร้านค้าเหมือนเดิมหรือเปล่า  แต่คนเขียนพยายามเดาโดยดูจากพฤติกรรมของคนที่เพิ่งมาซื้อผ่านออนไลน์ครั้งแรกว่าหลังจากซื้อออนไลน์ครั้งแรกนั้นแล้วหลังจากนั้นเป็นไงต่อ  ซื้อซ้ำมั้ย  สิ่งที่เค้าเจอคือคนที่ซื้อออนไลน์ครั้งแรกกลางช่วง lockdown มีอัตราการซื้อซ้ำเยอะกว่าปกติ
  6. ส่วนเรื่องคืนสินค้า  คนที่เริ่มซื้อครั้งแรกหลัง lockdown ก็ดูเหมือนจะคืนสินค้าน้อยกว่าพวกที่ซื้อออนไลน์อยู่แล้วด้วย  แล้วก็ไม่ได้เป็นแค่เดือนแรกๆด้วย  ดูเหมือนจะคืนสินค้าน้อยกว่าแม้ว่าเวลาจะผ่านไป

ดังนั้นถึงแม้ว่าโควิดจะยังไม่จบ  แต่จากข้อมูลเบื้องต้นดูเหมือนลูกค้าที่เพิ่งซื้อออนไลน์ครั้งแรกเหล่านี้จะดีกับคนที่ขายปลีกออนไลน์

เผื่อใครสนใจอ่านตัวเต็ม  ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้ครับ https://hbswk.hbs.edu/item/beyond-pajamas-sizing-up-the-pandemic-shopper

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ตัวอย่างการคำนวณ Free Cash Flow to Equity (FCFE)

Demonstrate how to calculate FCFE

ตัวอย่างการคำนวณ Free Cash Flow to Equity (FCFE)

อันนี้ก็ต่อเนื่องจากวีดิโอที่เราเคยอธิบายวิธีการ Discounted Cash Flow ไป  ปรากฎว่ามีคนมีปัญหาในการลงมือทำจริงแล้วถามเข้ามาเยอะมาก  เท่าที่ดูคือคนส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องการคำนวณ Free cash flow ตั้งแต่แรก  ก็คือสูตรคำนวณน่ะรู้ละ  อ่านหนังสือเอาหรือไม่ก็ดูวีดิโอเราก็บอกสูตรอยู่  แต่ไม่รู้ว่าเอารายการไหนจากงบการเงินมาทำกันแน่  วีดิโอนี้ก็เดี๋ยวจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างเอาเป็น Free cash flow to equity (FCFE) ละกัน

ทวนอย่างเร็ว  สูตร FCFE คือ

Net income + Net non-cash charges – Change in NWC – Capital expenditure + Net borrowing

ตัวอย่างที่ใช้คืองบการเงินบริษัท President Bakery ปี 2563

Net income  =  1,678,665,276

Net non-cash charges  =  492,803,775 – 1,990,697  =  490,813,078

Change in NWC  =   – 180,761,020 – 5,939,523 – 408,413 – 467,788 + 55,393,397 + 29,052,172 – 760 + 11,561,264  =  – 91,570,671

Capital expenditure  =  113,346,674 – 3,515,980 – 571,350 + 2,457,323  =  111,716,667

Net borrowing  =  0

สรุปคือ FCFE ปี 2563 ของ PB เท่ากับ 2,149,332,358

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

REIT ประเภทไหน Dividend Yield สูงสุด ?

What type of REIT has the highest yield ?

REIT ประเภทไหน Dividend Yield สูงสุด ?

อันนี้มีคนถามทิ้งไว้นานละเพิ่งจะได้มาทำ  ตอนแรกก็ว่าจะลองไปเอา Dividend yield ของทุก REIT มาเทียบกัน  แต่รู้สึกยุ่งยากไปนิดบวกกับปีที่ผ่านมามันปีผิดปกติด้วย  บาง REIT ที่โดนผลกระทบจังๆงดจ่ายปันผลหรือจ่ายลดไปเยอะมาก  ก็เลยทำให้เทียบกันยากอีก

สุดท้ายก็เลยเอาเป็นว่าผมตอบคำถามโดย

  • อิงจากความรู้สึกส่วนตัวที่ไล่ดูแล้วเจอ  ไม่ใช่จาก stat ทั้งหมด
  • อิง Normalized yield หรือก็คืออิงปันผลในปี 2019 ซึ่งเป็นปีปกติ

ไทย

REIT กลุ่มที่ yield สูงสุดนี่ต้องเป็นพวกที่เกี่ยวกับนักท่องเที่ยวแน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มโรงแรม  โดยรวม yield 10% นี่หาได้เลยแหละ

พวกที่รองลงมาก็กลุ่มที่เกี่ยวข้องอื่นอย่างเช่นพวกห้างนี่ก็สูงมาก  yield เกือบ 10% เช่นกัน

เหตุผลที่ yield สูงก็เข้าใจได้เพราะพวกนี้โดนโควิดกระทบจังๆและตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้น

US

อันดับหนึ่งจะเป็นพวก mortgage REIT  พวกนี้ต่างจาก REIT ปกติตรงที่รายได้ไม่ได้มาจากค่าเช่า  โมเดลธุรกิจเค้าคือเข้าไปเป็นเจ้าหนี้ให้สินเชื่อ  รายได้มาจากรายได้ดอกเบี้ย  โดยมีตัวอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน  พวกนี้ yield สูงเกือบ 10% ก็ยังหาได้อยู่  นี่ขนาดว่าราคาจะฟื้นมาจากโควิดเยอะแล้วนะ

กลุ่มรองลงมาก็จะเป็นพวกที่เกี่ยวกับคนแก่  แต่ไม่ใช่โรงพยาบาลนะ  REIT พวกบ้านพักคนชรากับพวกศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยที่ดูแลตัวเองไม่ได้ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนแก่  พวกนี้ yield 7% กว่าได้

สาเหตุที่ yield สูงก็เข้าใจได้  Mortgage REIT ปกติมันเสี่ยงกว่าอยู่แล้ว  ส่วนพวกบ้านพักคนชรากับพักฟื้นผู้ป่วยก็โดนโควิดจังๆทำให้ผู้ประกอบการหลายรายเสี่ยงเจ๊งมากขึ้น  บวกกับอุตสาหกรรมนี้ก็แข่งกันโหดแต่แรกอยู่แล้วก็เลยทำให้ REIT เสี่ยงกว่าเพื่อน yield เลยสูงครับ

ยุโรป

อันดับหนึ่งนี่พวกห้างเลย  yield แถวๆ 10% นี่หาได้  เกิน 10% ไปอีกก็ยังมี

กลุ่มที่รองลงมานี่ไม่แน่ใจละ  อาจจะพวกค้าปลีกที่ไม่ใช่ห้างนะ  พวกที่ทำ retail parks ประมาณนั้น  เคยเห็น 7% ได้

ที่ yield สูงขนาดนั้นเข้าใจว่าเพราะช่วงหลังๆเทรนด์ของซื้อของออนไลน์เริ่มเยอะ  คนกังวลว่าพวกห้างนี่จะเหมือนใน US ที่ห้างเจ๊ง  ก็เลยทำให้ yield สูงพิเศษกว่ากลุ่มอื่นเลย

 

ส่วนที่อื่นๆไม่รู้ละไม่ได้ติดตาม  ในญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ก็มี REIT เยอะนะ  แต่ไม่รู้เลยว่าช่วงนี้เป็นไงบ้าง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

แนะนำหนังสือเรื่องการอ่านงบการเงิน

Book recommend: book on financial statements

แนะนำหนังสือเรื่องการอ่านงบการเงิน

เรื่องนี้เอาจริงๆผมก็ไม่รู้เหมือนกัน  คือพอดีผมเรียนตรงสายก็เลยเรียนพื้นฐานบัญชีกับพวกงบการเงินมาตั้งแต่ป.ตรี  แล้วก็มาสอบ CFA ซึ่ง CFA 1, 2 ก็มีเรื่องบัญชี  มันเลยเหมือนอ่านและเรียนหลายครั้งจาหนังสือหลายเล่ม

หลักๆแล้วผมมองว่าความเข้าใจที่เราต้องมีก็คือเรื่องหลักการบันทึกบัญชีเบื้องต้น  เข้าใจงบหลักอย่างงบกำไรขาดทุน, งบแสดงสถานะทางการเงินแล้วก็งบกระแสเงินสด  เข้าใจว่ามันสื่ออะไร  โครงมันเป็นยังไง  รู้จักรายการหลักๆบนนั้น  เข้าใจว่างบการเงินแต่ละเรื่องมันสัมพันธ์กันยังไง  แล้วก็เข้าใจความหมายของอัตราส่วนทางการเงินต่างๆ  ประมาณนี้ก็น่าจะใช้ได้ละ

หนังสือที่ผมเคยอ่านหรือคิดว่าเคยอ่านก็จะมี

  • ซีรี่ส์ For Dummies  จำไม่ได้ว่าเล่มไหน  น่าจะ Accounting for Dummies นะ  แต่อ่านเล่มที่ชื่อ Financial Accounting for Dummies น่าจะตรงประเด็นกว่า

  • Warren Buffett and the Interpretation of Financial Statements  เล่มนี้ก็เคยอ่านแน่นอน  แต่เล่มนี้ไม่ใช่พื้นฐานบัญชีนะ  ถ้าจำไม่ผิดมันสำหรับคนเข้าใจบ้างอยู่แล้ว  หนังสือเค้า Highlight รายการที่สำคัญแล้วพูดถึงอัตราส่วนทางการเงินเพิ่มเติม

  • เล่มที่เป็นการ์ตูนที่จำได้จะมีของ Tactschool  คือเล่มนี้มาอ่านตอนหลังมากก็เลยรู้อยู่แล้วทั้งหมด  จำไม่ได้เลยว่าเนื้อหามีอะไรบ้าง  แต่จำได้ว่าดีนะ  เคยซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ให้พี่ๆที่ทำงาน  ดังนั้นก็เลยคิดว่าดี

  • นอกนั้นที่เหลือจะเป็นหนังสือเรียนตอนป.ตรีกับหนังสือของ CFA 1 ละ

ประมาณนี้แหละครับ  ส่วนใครที่ถามเกี่ยวกับหนังสือเล่มอื่นๆว่าดีมั้ยนู่นนี่  คือผมไม่เคยอ่านดังนั้นผมไม่รู้และไม่มีความเห็นครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ETF ต่างประเทศ ซื้อได้มั้ย ซื้อยังไง มีอะไรบ้าง ?

Buy ETF abroad

ETF ต่างประเทศ ซื้อได้มั้ย ซื้อยังไง มีอะไรบ้าง ?

มีคนมีคำถามเกี่ยวกับการซื้อกองทุนในต่างประเทศ  ตอบไปทีละเรื่อง

ใช้บัญชีซื้อขายหุ้นต่างประเทศซื้อกองทุนในต่างประเทศได้มั้ย ?

ซื้อ ETF ได้ครับ  พวกที่ไม่ใช่ ETF ที่เวลาซื้อต้องซื้อจากบริษัทจัดการกองทุนอันนั้นไม่ได้  แต่เนื่องจาก ETF ในต่างประเทศอย่างอเมริกาหรือยุโรปได้รับความนิยมกว่าในไทยเยอะ  ETF มีเยอะและหลากหลายมากดังนั้นซื้อแค่ ETF ก็ควรจะพอละ

 

เวลาซื้อทำยังไง ?

สั่งซื้อเหมือนหุ้นธรรมดาเนี่ยครับ

 

ค่าธรรมเนียมต่างๆแพงมั้ย  มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ?

อันนี้ไม่ทราบเหมือนกัน  น่าจะแล้วแต่กองทุนนะ  สนใจกองทุนไหนคงต้องไปหาเอาเอง

 

ETF ในต่างประเทศมีอะไรบ้าง ?

คือมีเยอะมาก  ทั้งกองที่ลงทุนแบบ index หรือตามธีมอะไรซักอย่าง  มีทั้ง passive, active  อยากได้อะไรก็ลองหาดูครับ  Google ชื่อตลาดหุ้นประเทศที่เราจะไปลงทุนแล้วก็คำว่า ETF มันก็น่าจะหาได้อยู่

ใน US ก็จะมีของ Blackrock ที่ดังและใหญ่สุดแล้ว  ETF เค้าจะชื่อ iShares  ประเทศอื่นผมไม่รู้เหมือนกันแต่ชัวร์ว่าในยุโรปก็มีเยอะมาก

 

เทียบกับซื้อกองทุนในไทยที่ไปเป็น feeder fund ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศอีกที  อันไหนดีกว่ากัน ?

อันนี้ไม่รู้เลยครับ  แต่เข้าใจว่ากองทุนในไทยที่เป็น feeder fund อาจจะไปลงทุนในกองทุนที่ไม่ใช่ ETF นะ  ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องดีกว่าหรือแย่กว่า  การตัดสินใจคงขึ้นกับว่าเราอยากจะลงทุนในกองทุนอะไรเป็นพิเศษมั้ยมากกว่า

 

มีวิธีการเลือกยังไง ?

ผมว่าก็เหมือนเลือกกองทุนของไทยเนี่ยแหละ  คร่าวๆก็ดูว่าลงทุนในอะไรตรงกับที่เราต้องการมั้ย  ค่าธรรมเนียมเป็นยังไง  ที่ผ่านมาผลการดำเนินงานดีมั้ย

โดยรวมก็มองว่าถ้าไม่คิดอะไรมากก็ซื้อ ETF ที่ลงทุนแบบ passive ตาม index ไปเลยก็ได้  ผมเข้าใจว่าคนที่จะซื้อ ETF ในต่างประเทศก็คือไม่ได้มีในใจว่าจะลงทุนในหุ้นอะไรเป็นพิเศษอยู่แล้วนี่  ถ้าอย่างนั้นก็ลงทุนกระจายตามดัชนีไปเลยมั้ย

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

บริษัทมีกำไร แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ??

Negative Equity

บริษัทมีกำไร แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ??

มีคนไปเจอบริษัทที่ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ  แต่เป็นบริษัทที่กำไรต่อเนื่องหลายปี  เค้าเลยงงว่ามันเป็นไปได้ไงแล้วแบบนี้หมายถึงบริษัทมันมีปัญหาหรือเปล่า

โดยปกติถ้าเราเห็นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบก็แปลว่าไม่ดีแหละ  ส่วนใหญ่ก็มาจากการขาดทุนต่อเนื่องหลายปี  เอาซะจนส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ

แต่มันก็มีกรณียกเว้นได้เหมือนกัน  บริษัทที่กำไรต่อเนื่องหลายปีอาจจะมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบได้  ที่ผมนึกออกก็จะมีบริษัทซื้อหุ้นคืนซะจนส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ

ตัวอย่างเช่น Autozone

ในกรณีแบบนี้  บริษัทที่เห็นมีส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบก็ไม่ได้แปลว่าไม่ดี  อย่างกรณีแรกถ้าบริษัทจะสามารถทำได้ดีต่อไปในอนาคตก็ไม่มีปัญหา  ถึงจุดหนึ่งขาดทุนสะสมก็หายไปและกลายเป็นกำไรสะสมแทน  ส่วนกรณีที่สองก็ไม่มีปัญหาอะไรเช่นกันถ้าบริษัทจะยังสามารถทำธุรกิจได้ดีต่อไปเรื่อยๆ  บริษัทมีกำไรจ่ายหนี้ได้ก็ใช้ได้

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

กองทุนใหญ่หรือกองทุนเล็กดีกว่ากัน ?

The Largest Funds are the Safest Bets

กองทุนใหญ่หรือกองทุนเล็กดีกว่ากัน ?

The Largest Funds are the Safest Bets

ผมมีความเข้าใจว่ากองทุนขนาดเล็กน่าจะบริหารง่ายกว่ากองทุนขนาดใหญ่มาตลอด  ถ้าไม่นับเรื่องค่าธรรมเนียมที่ปกติกองทุนใหญ่จะได้เปรียบแล้ว  ผมก็นึกภาพว่าการที่ขนาดของเงินที่ต้องบริหารมันใหญ่  มันก็จะทำให้โอกาสที่ผลตอบแทนจะทำได้ดีทำได้ยากกว่าเพราะหุ้นที่ดีบางบริษัทมันอาจจะขนาดไม่ใหญ่และดังนั้นถ้าเราเงินเยอะมากการซื้อหุ้นพวกนี้ก็จะส่งผลต่อผลตอบแทนรวมของพอร์ตไม่เยอะ  เงินที่ต้องบริหารก้อนใหญ่ก็จะลงทุนได้แต่พวกบริษัทขนาดใหญ่เท่านั้น  แล้วมันก็จะมีกองทุนบางกองที่ผมรู้ว่าเค้าปิดไม่รับเงินลงทุนเพิ่มเพราะเค้ามองว่าถ้าเงินเยอะเกินกองทุนจะไม่สามารถลงทุนด้วยกลยุทธ์เดิมได้  และดังนั้นผมก็เข้าใจมาตลอดว่ากองทุนขนาดเล็กกว่าควรจะได้เปรียบและทำได้ดีกว่ากองทุนขนาดใหญ่สิ

แต่ปรากฎว่ามีคนของ Morningstar ที่เค้าลองย้อนไปดูตั้งแต่ปี 2001 แล้วเอากองทุนใน US แบ่งตามประเภทแล้วก็เอา 20 กองที่ใหญ่สุดของแต่ละประเภทเทียบกันกับที่เหลือว่าต่างกันยังไงบ้าง  สิ่งที่เค้าพบคือ

 

1. กองทุนขนาดใหญ่รอดมากกว่ากองทุนขนาดเล็ก

รอดในที่นี้คือไม่ถูกปิดกองไปหรือไม่ถูกรวมกับกองอื่นไป  กองใหญ่รอด 86%  กองอื่นๆรอด 43% เท่านั้น

ซึ่งอันนี้ผมก็ว่าไม่น่าแปลกใจเพราะกองทุนที่ขนาดใหญ่ต่อให้ทำได้ไม่ดีอยู่ช่วงนึง  คนหนีเอาเงินออกก็ยังอาจจะรอดได้เพราะเงินลงทุนเยอะพอที่จะคุ้มก็เลยไม่ถึงขั้นปิดกอง  ในขณะที่ขนาดเล็กถ้าผลงานห่วยคนหนีก็มีโอกาสปิดกองมากกว่า  ดูปกติ

 

2. ผลตอบแทนดีกว่า

อันนี้เค้าวัดผลตอบแทนเฉพาะกองที่รอดเท่านั้น  กองที่ไม่รอดปกติก็น่าจะห่วย  การที่ตัดกองที่ไม่รอดออกก็ทำให้กองอื่นๆที่เหลือที่มีกองที่ไม่รอดเยอะผลตอบแทนน่าจะได้เปรียบ  ในขณะที่กองใหญ่อาจจะเสียเปรียบเพราะอาจจะมีกองที่จริงๆผลตอบแทนห่วยแต่รอดมาเพราะขนาดปนอยู่ถ่วงผลตอบแทน  ตัวเลขที่วัดคือเค้าวัดว่าผลตอบแทนเทียบกับ benchmark เป็นยังไง  ตัวเลข 100 คือค่ากลางของผลตอบแทนกองทุนได้เท่าๆ benchmark พอดี

แต่ผลคือกองใหญ่ก็ชนะอยู่ดี  ค่ากลางของกองใหญ่ outperform ตัว benchmark อยู่ 6% ในขณะที่กองอื่นๆที่เหลือแพ้อยู่ 6%

หนึ่งในเหตุผลที่ชนะก็คือค่าธรรมเนียมต่ำกว่า  ซึ่งอันนี้เราคาดไว้อยู่แล้ว  แต่ผลของค่าธรรมเนียมต่ำกว่าอธิบายความแตกต่างได้ไม่หมด  นั่นแปลว่าต้องมีเหตุผลอื่นที่ทำให้กองใหญ่ผลตอบแทนดีกว่ากองอื่นๆที่เหลือ  ซึ่งคนของ Morningstar เดาว่าอาจจะเรื่องคุณภาพของผู้บริหารกองหรือเปล่า  เพราะกองใหญ่จำนวนมากได้ rating สูงจาก Morningstar

 

3. กองใหญ่พลาดน้อยกว่ากองอื่นๆที่เหลือ

อันนี้เค้าสังเกตว่ากองใหญ่อาจจะไม่ค่อยกำไรหวือหวา  แต่ดูเหมือนกองใหญ่จะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดแบบเละเทะ

จาก 120 กองใหญ่เหลือรอดอยู่ 103 กอง  ใน 103 กองนั้นมีแค่ 2 กองที่ปัจจุบันได้รับ rating 1 ดาวจาก Morningstar  ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติเพราะกอง 1 ดาวคิดเป็น 10% ของกองทุนทั้งหมด  และในหมู่ 103 กองก็มีกองที่ได้รับ rating 5 ดาวเยอะกว่าปกติด้วย

 

4. ETF ก็เป็นเหมือนกัน

ETF มาที่หลังกองทุนรวมและดังนั้นเค้าเลยเริ่มทำแบบเดียวกันแต่ดูเริ่มจากปี 2011 แทน  แล้วก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน

ETF ใหญ่รอดมาถึงวันนี้ทุกกอง  ผลตอบแทนดีกว่า ETF อื่นๆที่เหลือ  และได้รับ rating 5 ดาวเยอะกว่า 1 ดาวน้อยกว่าค่าเฉลี่ย

 

ผิดคาดผมอยู่เหมือนกัน  สำหรับคนที่สนใจอ่านบทความเรื่องนี้ของ Morningstar ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้ครับ https://www.morningstar.com/articles/1038181/the-largest-funds-are-the-safest-bets

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี