ไอเดียหุ้นต่างประเทศน่าสนใจ – รายชื่อ Morningstar Wide Moat

Morningstar Wide Moat list

ไอเดียหุ้นต่างประเทศน่าสนใจ – รายชื่อ Morningstar Wide Moat

ประเด็นหนึ่งที่มีคนถามผมบ่อยเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศคือไม่รู้จักหุ้น  ไม่รู้จะเอาไอเดียมาจากไหน  วันนี้เรามาพูดถึงไอเดียหุ้นจาก Morningstar กันครับ

ก่อนอื่นเลย  หัวข้อนี้ต้องขอบคุณหนึ่งในผู้ฟัง channel เราที่เอื้อเฟื้อครับ  คุณแมน username “เม่าคิดเยอะ”  เค้าเป็นคนไปเจอเวปที่มีฐานข้อมูลของหุ้นที่น่าสนใจที่เราจะพูดถึงในวีดิโอนี้  และจริงๆเค้าไม่จำเป็นต้องแบ่งปันก็ได้ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเค้าเลย  แต่เค้าแบ่งปันเพราะเห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อคนหมู่มาก 

อันนี้ต้องชื่นชมเค้าจริงๆครับ

รายชื่อบริษัท Wide Moat ทั้งหมดของ Morningstar อยู่ในลิ้งค์ที่ทิ้งไว้ให้นี้

https://www.dividendgrowthinvestingandretirement.com/2020/10/international-wide-moat-stocks-every-single-one-listed/

ผมเล่าให้ฟังนิดนึงว่า Wide Moat ของ Morningstar นี่คืออะไร

Morningstar เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษในเรื่องการจัดอันดับกองทุนรวม  ถ้าพูดถึงกองทุนรวม rating ที่น่าเชื่อถือที่สุดทั่วโลกนี่คือต้อง Morningstar เลย  ในประเทศไทยกองทุนที่มี rating จาก Morningstar นี่เค้าพูดถึงเวลาโฆษณาเลยด้วยซ้ำ  ทีนี้ Morningstar นอกจากกองทุนเค้าก็มีขายบริการที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์หุ้นด้วย

Concept หลักของการวิเคราะห์หุ้นของ Morningstar คือเค้าจะมีสิ่งที่เรียกว่า Moat rating  ตัว Moat นี่แปลตรงๆจะแปลว่าคูเมืองหรือคูปราสาทที่มีน้ำไว้ป้องกันการบุกของข้าศึก  Moat rating ในทางธุรกิจก็คือบริษัทที่ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างคู่แข่งเข้ามาบุกหรือแข่งได้ยาก

Morningstar มีให้ Moat rating คือ Wide, Narrow กับ No Moat  บริษัทที่มี Wide Moat นี่คือบริษัทที่เค้าเชื่อว่าจะสามารถกันคู่แข่ง, รักษาระดับการแข่งขันและมีกำไรสูงกว่าปกติได้อยู่อีกนานอย่างน้อย 20 ปี  Narrow Moat คือได้อยู่ซัก 10 ปี  ส่วน No Moat นี่คือไม่ได้มีความได้เปรียบอะไรหรือความได้เปรียบอยู่แค่แปปเดียว

ปกติแล้วการจะดู Moat rating ของ Morningstar เสียตังค์  แต่วันนี้ลิ้งค์ที่คุณ “เม่าคิดเยอะ” ให้มานี่ฟรี  มีรายชื่อ Wide Moat ทั้งหมดของ Morningstar  ดังนั้นผมถึงบอกว่านี่คือเอื้อเฟื้อ  สุดยอดมาก

นอกเหนือจากรายชื่อหุ้น Wide Moat ของ Morningstar แล้ว  ในเวปยังมีรายชื่อหุ้นที่จ่ายปันผลต่อเนื่องของบริษัทในอเมริกากับยุโรปด้วย  ซึ่งก็เป็นแหล่งไอเดียที่ดีเช่นกัน  บริษัทที่จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอและเพิ่มขึ้นตลอดส่วนใหญ่ก็ไม่ธรรมดา  ผมเปิดให้ดูอย่างรวดเร็ว

สุดท้ายนี้  นี่เป็นแหล่งไอเดียที่ดี  แต่ไม่ได้หมายความว่าควรซื้อทั้งหมดหรือดีทั้งหมดนะ  Morningstar ก็พลาดได้นึกออกมะ  เราดูในฐานะที่เป็นแหล่งไอเดียแล้วก็ไปศึกษาต่ออย่างจริงจังกับหุ้นที่เราชอบนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ลงทุนแบบ VI ระยะสั้นได้มั้ย ?

Can VI be used for short term investing ?

ลงทุนแบบ VI ระยะสั้นได้มั้ย ?

ขึ้นอยู่กับว่าพูดถึงระยะสั้นขนาดไหน  แต่โดยรวมแล้วยิ่งลงทุนระยะสั้นมาก VI ก็ยิ่งไม่ได้ผล

เพื่อให้เข้าใจตรงกัน  คือ VI สำหรับผมมันต้องมีองค์ประกอบ 2 อย่าง

  1. มีการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหุ้น (fundamental analysis)
  2. ซื้อเมื่อเห็นว่าราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม

ถ้ามีแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่นับว่าเป็น VI  เช่นบางคนอาจจะเลือกลงทุนโดยมองที่ปัจจัยพื้นฐานของหุ้น  แต่เมื่อเลือกหุ้นที่ชอบแล้วอาจจะซื้อแบบ DCA หรือ Momentum ก็ได้  แบบนี้ก็ไม่ได้เรียกว่าลงทุนแบบ VI  หรือบางคนเน้นซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำหรือราคาตกรุนแรงโดยที่ไม่ได้พิจารณาปัจจัยพื้นฐาน  แบบนี้ก็เรียกว่าลงทุนแบบ contrarian เฉยๆ  ไม่ได้เป็น VI

ทีนี้ประเด็นที่ทำให้ลงทุนแบบ VI ใช้กับระยะสั้นมากเช่นหลักวัน, สัปดาห์ หรือไม่กี่เดือนไม่ได้ผลเป็นเพราะว่า  โดยปกติแล้วการที่ราคาหุ้นต่ำกว่าราคาที่เหมาะสมได้ตั้งแต่แรกมักจะเป็นเพราะคนในตลาดมีมุมมองเชิงลบกับหุ้นนั้นเว่อร์เกินไป  หรือไม่ก็เพราะคนในตลาดอาจจะไม่ค่อยรู้จักหุ้นนั้นมันยังไม่ดัง  ดังนั้นโดยปกติมันต้องใช้เวลากว่าคนในตลาดจะเอะใจว่าบริษัทมันดีกว่าที่คาดนี่หว่าหรือเริ่มรู้จักมากขึ้นจนราคาหุ้นสูงขึ้นไปอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับคุณภาพของบริษัท  บางทีใช้เวลาเป็นปีเพราะต้องรอผลประกอบการออกมาดีต่อเนื่องกว่าจะคนมั่นใจว่าดีจริง  ก็เลยเป็นเหตุให้ลงทุนระยะสั้นมากด้วยวิธี VI ก็จะไม่ค่อยได้เรื่องอะไรเท่าไหร่

แต่สำหรับคนที่จะลงทุนระยะสั้น  ผมมองว่าก็เอาบางส่วนของ VI มาใช้ก็ได้นี่  ไม่น่าจะเป็นเรื่องเสียหายตรงไหน  คือเอาการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานมาใช้  อย่างเช่นคนที่ลงทุนแบบสายเทคนิคดูกราฟเป็นหลัก  ก็ไม่เสียหายที่จะจำกัดหุ้นที่จะลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานก่อน  คือตัดสินใจด้วยกราฟแหละแต่ใช้กับหุ้นที่พื้นฐานดีเท่านั้น  โดยรวมหุ้นที่พื้นฐานดีก็น่าจะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น  ถ้าพลาดจริงๆก็สามารถที่จะถือยาวได้เพราะบริษัทที่ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆราคาหุ้นก็จะมีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆในระยะยาวอยู่แล้ว

หรือสำหรับบางคนที่คำว่าลงทุนระยะสั้นหมายถึงซักเกือบปีถึงสองปี  VI ก็ยังพอใช้การได้อยู่นะ  อย่างวิธีการลงทุนที่ผมทำอยู่คือเน้นซื้อหุ้นที่รู้จักดีอยู่แล้วว่าดีแต่ซื้อตอนคนตกใจจากปัญหาชั่วคราว  เท่าที่ทำมาถ้ามีเวลารอได้ซัก 1-2 ปีมันก็ใช้ได้อยู่นะ  ส่วนใหญ่แล้วถ้าเป็นปัญหาชั่วคราวเช่นอย่างโควิดหรือที่ตลาดตกเพราะสงครามการค้าจีนอเมริกาหรืออะไรก็แล้วแต่ที่คนตกใจเฉยๆ  พวกนี้ไม่ได้ใช้เวลานานมากคนก็หายตกใจ  ดังนั้นถ้าสำหรับบางคนที่ระยะสั้นคือ 1-2 ปีก็ใช้ VI ได้อยู่ครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

การเมืองรุนแรง จะทำตลาดหุ้นตกมั้ย ?

Is the political turmoil going to affect the stock market ?

การเมืองรุนแรง จะทำตลาดหุ้นตกมั้ย ?

คนที่เค้ากังวลเรื่องการเมืองไทยถามผมว่าถ้ามันมีเหตุการณ์รุนแรงหรือมีปฎิวัติซ้อนขึ้นมา  มันจะมีผลต่อตลาดหุ้นหรือเปล่า

โดยส่วนตัวผมคิดว่าไม่  และที่จำได้คือช่วงหลายปีก่อนที่มีความรุนแรงหรือมีปฏิวัติผมก็รอดูอยู่ว่าหุ้นจะตกอย่างมีนัยสำคัญหรือเปล่า  ผลคือไม่มี

แต่เพื่อตอบคำถามนี้เอาแบบชัวร์ๆ  เรามาย้อนดูเหตุการณ์ใหญ่ๆทางการเมืองที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทียบกับดัชนี SET ในเวลานั้นละกัน  จะได้ดูจริงๆว่ามันมีผลหรือเปล่า

 

20 พฤษภาคม 2557  มีรัฐประหารโดยคุณประยุทธ์

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 20  -1.13%
  • วันที่ 21  +0.59%
  • วันที่ 22  +0.16%

2 กุมภาพันธ์ 2557  มีม๊อบไปขัดขวางการเลือกตั้ง  การเลือกตั้งเป็นโมฆะ

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 3  +1.45%
  • วันที่ 4  -1.24%
  • วันที่ 5  +0.27%  

9 ธันวาคม 2556  รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยุบสภา

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 9 +0.43%
  • วันที่ 10 เป็นวันหยุด
  • วันที่ 11 +0.14%

7-19 พฤษภาคม 2553  มีความรุนแรงกรณีม๊อบเสื้อแดง

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index

  • เฉลี่ยวันที่ 7-9  SET อยู่ที่ 773.23 จุด
  • เฉลี่ยวันที่ 17-19  SET อยู่ที่ 759.64 จุด
  • โดยรวมตั้งแต่ต้นเหตุการณ์ยันจบเกือบ 2 สัปดาห์  SET เปลี่ยนแปลงรวม -1.76% 

19 กันยายน 2549 พลเอก สนธิ ก่อรัฐประหาร

การเปลี่ยนแปลงของ SET Index  

  • วันที่ 19 -0.47%
  • วันที่ 20 เป็นวันหยุด
  • วันที่ 21 -1.42%

 

สรุปแล้วจะเห็นได้ว่าไม่ได้เป็นสาระสำคัญ  เหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมาในอดีตทั้งความรุนแรงหรือรัฐประหารไม่ได้ทำให้ตลาดหุ้นตื่นเต้นดีใจหรือตกใจอะไรอย่างมีนัยสำคัญครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท อนาคตจะดีขึ้นไปอีก หรือจะหายไป ต้องดูยังไง ?

How to determine from company's qualitative aspects whether it will perform better or worse ?

ปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัท อนาคตจะดีขึ้นไปอีก หรือจะหายไป ต้องดูยังไง ?

ก็เป็นคำถามที่ดีแหละ  แต่ในความเป็นจริงคือต้องเข้าใจก่อนว่ามันไม่มีกฎอะไรตายตัวหรือค่าตัวเลขอะไรซักอย่างที่แค่ดูตัวเลขนี้แล้วบอกได้  เพราะสถานการณ์ของบริษัทแต่ละบริษัทหรือธุรกิจแต่ละประเภทมันมีความหลากหลายและต่างกันเยอะเกินกว่าที่จะมีเกณฑ์ตายตัวได้  วีดิโอนี้เราพยายามอธิบายเรียบเรียงความคิดละกันว่าถ้าเป็นเราจะดูอะไรยังไงบ้าง

ขั้นตอนแรกสุดเลยคือ  เราต้องเห็นภาพก่อนว่าบริษัทมันมีความได้เปรียบเพราะว่าอะไรตั้งแต่แรก  อันนี้สำคัญมากจริงเพราะถ้าไม่รู้ประเด็นนี้คือจบละ  เราไม่มีทางบอกได้ว่าบริษัทจะดีขึ้นหรือแย่ลงแน่นอน  โดยทั่วไปสิ่งที่ควรทำคือถามก่อนเลยว่า “มีเหตุผลอะไรที่คนต้องซื้อของจากบริษัทนี้ ?”  มันมีสินค้าบริการที่แตกต่างออกไปเหรอ  ต่างยังไง  ความต่างนั่นมันสำคัญเพราะอะไร  ทำไมไม่มีใครทำเลียนแบบล่ะ  หรือที่ต้องซื้อเพราะมันทำอยู่เจ้าเดียวเหรอ  ทำไมมันทำอยู่เจ้าเดียวได้ล่ะ  ทำไมไม่มีคนอื่นมาทำแข่ง  เรื่องตรงนี้เป็นอะไรที่เราต้องพยายามทำความเข้าใจแหละ  ไม่มีทางลัด

เมื่อเราเข้าใจที่มาของความได้เปรียบแล้ว  สิ่งที่เราพยายามทำคือมองดูว่าความได้เปรียบตรงนั้นมันเข้มแข็งขึ้นหรือแย่ลงกว่าเดิม  หลักๆก็คือสังเกตไอตรงเหตุที่มันทำให้บริษัทได้เปรียบนั่นแหละ  ถ้าเป็นเรื่องสินค้าบริการที่แตกต่างก็ต้องคอยดูว่ามันยังแตกต่างอยู่  ถ้าเป็นเรื่องขายอยู่เจ้าเดียวก็ต้องคอยดูว่ามันยังจะขายอยู่เจ้าเดียวอยู่ต่อไปมั้ย

ส่วนใหญ่ระหว่างเข้มแข็งมากขึ้น, เท่าเดิมกับเข้มแข็งน้อยลง  ที่มันจะมีปัญหากับเราคือกรณีที่มันเข้มแข็งน้อยลงมากกว่า  อาจจะเริ่มจากถามคำถามว่า “ถ้าไม่ซื้อของจากบริษัทนี้  มีทางเลือกอื่นอะไรบ้าง ?”  ทางเลือกอื่นเหล่านั้นมันดูน่าสนใจมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมั้ย  หรือทางเลือกอื่นที่ว่านี่ก็ยังดูสู้ไม่ได้ทิ้งห่างเหมือนเดิม

นอกเหนือจากนี้ก็มีตัวเลขที่ควรสังเกตอื่นๆที่ช่วยบ่งชี้ได้เช่น  ตัวเลขส่วนแบ่งการตลาด (ถ้ามีก็ช่วยได้  แต่บางบริษัทก็หาตัวเลขนี่ไม่ได้), Profit margin  โดยเฉพาะ Gross profit margin กับ Operating profit margin  แย่สุดคือแกว่งรุนแรง  และน่าสงสัยถ้าเห็นว่ามันบีบลงเรื่อยๆ, Customer retention  และอัตราส่วนอื่นๆที่บ่งชี้ว่าลูกค้าชอบบริษัท  ตัวเลขพวกนี้ช่วยได้  แต่จุดบอดของการพึ่งพาตัวเลขพวกนี้อย่างเดียวคือกว่าจะเห็นสัญญาณปัญหาก็คือปัญหาเริ่มเกิดไปซะละ

มาถึงตรงนี้คุณน่าจะสังเกตได้แล้วแหละว่าการจะสังเกตเรื่องการเปลี่ยนแปลงในอนาคต  มันจะได้เปรียบมากถ้าเราคุ้นเคยกับสินค้าหรือบริการนั้นๆน่ะแหละ  อ่านบทความบนเน็ตมันก็ช่วยอ่ะนะ  แต่ไม่มีทางสู้คนใช้จริงที่ใกล้ชิดสินค้าบริการนั้นๆแน่นอน  ดังนั้นก็เลยเป็นเหตุผลที่เค้าย้ำกันนักหนาว่าลงทุนในบริษัทที่เราชอบและเห็นภาพดีกว่าครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์

Turn crisis into opportunities with Property Investment

เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์

ฟังมุมมอง, แนวทางการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ในหัวข้อ “เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยอสังหาริมทรัพย์” จากแขกรับเชิญ คุณพีช (เจ้าของเพจ PropCow)

วิดีโอถ่ายทำเมื่อ 13 ตุลาคม 2563

Link ไปยัง PropCow
https://www.facebook.com/PropCow-345100986185732/

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

Prominent people and economists warn of large market crash ahead, what do we suggest ?

มีนักลงทุนที่มีชื่อเสียง ทำนายว่าจะเกิดวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมา เราแนะนำว่ายังไง ?

สำหรับผมก็มองว่าเราอ่านดูว่าเค้าให้เหตุผลว่าอะไรก็ไม่เสียหาย  แต่อย่าไปเครียดจริงจังอะไรกับมันมากเกินไป  เพราะว่า

  1. คนออกมาบอกว่าจะเกิดวิกฤติอะไรซักอย่างมันมีอยู่ตลอดทุกปี
  2. เอาจริงๆผมก็เชื่อว่าจะมีวิกฤติอะไรซักอย่างเกิดขึ้นซักวันแหละ  แต่ถ้าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมื่อไหร่  มันก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่ป้ะ  จะให้หวาดระแวงไม่ทำอะไรเลยอยู่ตลอดก็ไม่ไหวนะ

สรุปอีกทีนึงคือความคิดเห็นเหล่านี้เราฟังเหตุผลเค้าได้ไม่มีปัญหาอะไร  แต่เราต้องรู้ตัวอยู่เสมอว่ามันก็เป็นแค่ข้อคิดเห็น  และสุดท้ายไม่มีใครรู้อนาคต  แค่เพราะคนจำนวนมากเชื่ออะไรซักอย่างนึงก็ไม่ได้แปลว่าเรื่องนั้นจริง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมราคาหุ้นแต่ละบริษัทต่างกันเยอะ ทั้งที่บางบริษัทธุรกิจคล้ายกันมาก ?

Why do stocks of similar businesses have vast differences in price ?

ทำไมราคาหุ้นแต่ละบริษัทต่างกันเยอะ ทั้งที่บางบริษัทธุรกิจคล้ายกันมาก ?

คำถามนี้เข้าใจไม่ยาก  ผมอธิบายให้เห็นภาพด้วยตัวอย่างง่ายๆครับ

สมมติมี 2 บริษัท A กับ B  ที่เหมือนกันเป๊ะเลย  ขายของเหมือนกันกำไรเท่ากันทุกอย่าง  มูลค่าของทั้งบริษัทสำหรับ A และ B ก็ควรเท่ากันถูกมะ  เพราะเหมือนกันเป๊ะนี่

ในกรณีนี้สมมติว่ามูลค่าทั้งบริษัทของ A = B = 100 บาทละกัน

สมมติบริษัท A ตัดสินใจออกหุ้นนะ  เค้าแบ่งบริษัทออกเป็นทั้งหมด 10 หุ้น  แต่ละหุ้นก็ควรจะราคา 10 บาทถูกมะ  เพราะ 1 หัุ้นเท่ากับเป็นความเป็นเจ้าของ 10% ของบริษัท (1 หุ้นจากทั้งหมด 10)

ส่วนบริษัท B ออกหุ้นเหมือนกัน  เค้าแบ่งบริษัทออกเป็นทั้งหมด 100 หุ้น  แต่ละหุ้นก็ควรจะราคา 1 บาทถูกมะ  เพราะ 1 หัุ้นเท่ากับเป็นความเป็นเจ้าของ 1% ของบริษัท (1 หุ้นจากทั้งหมด 100)

ก็แค่เนี้ยครับ  ราคาหุ้นต่างกันละไง  ขนาดว่าบริษัท A กับ B นี่เหมือนกันเป๊ะเลยนะ  ดังนั้นราคาหุ้นในตลาดจริงต่อให้ธุรกิจคล้ายๆกันก็ไม่จำเป็นต้องราคาเท่ากันเพราะ

  1. บริษัทคล้ายแค่ไหนแต่ในรายละเอียดจริงๆก็ทำกำไรหรือสถานะทางการเงินต่างกัน
  2. จำนวนหุ้นที่ออกไม่เท่ากัน

นั่นคือเหตุผลที่เวลาคนดูว่าหุ้นแพงหรือเปล่า  เค้าก็จะไม่พูดถึงราคาหุ้นอย่างเดียว  เค้าจะดูราคาเทียบกับอะไรซักอย่าง  เช่นเทียบกับกำไรต่อหุ้น (P/E) หรือเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นต่อหุ้น P/BV เพราะราคาเดี่ยวๆมันไม่ได้สื่ออะไรเท่าไหร่น่ะครับ

ดังนั้นถ้าคุณเจอคนที่เค้าบอกรู้สึกว่าหุ้นบริษัทที่ราคาหลักร้อยแพง  หุ้นที่ราคาไม่ถึงบาทนี่ถูก  เพราะด้วยเงินเท่ากันซื้อได้จำนวนหุ้นเยอะกว่า  คุณต้องรีบอธิบายให้เค้าฟังเลยว่าเค้ากำลังเข้าใจผิดอยู่  หุ้นราคาหลักร้อยแค่ราคาสูงแต่ไม่ได้แปลว่าแพง  และหุ้นที่ราคาไม่ถึงบาทนี่ก็แค่ราคาต่ำไม่ได้แปลว่ามันถูก  จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่าหุ้นหนึ่งหุ้นนั้นมันเท่ากับเราเป็นเจ้าของอะไรมากกว่าโอเคนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

Strategy update - Sep 28, 2020

อัพเดทสถานการณ์ ลงทุนยังไงต่อดี ? – 28 ก.ย. 2563

โดยรวมก็คล้ายๆเดิม  สิ่งที่ต่างไปแล้วดูมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้หุ้นตกลงมาก็เป็นเรื่องความเสี่ยงของ national lockdown ในยุโรป

ช่วงก่อนเราก็เห็นอยู่แล้วว่าการระบาดใน US ยังสูงขึ้น  และเราก็เห็นว่าในยุโรปเริ่มกลับมาระบาด  บางประเทศมีการปิดธุรกิจเช่นอินเดีย, Melbourne, ฯลฯ  แต่ตอนนั้นคนก็ไม่ได้ตกใจอะไร  อาจจะเห็นมีหุ้นกลุ่ม Tech ที่ตกลงมาอยู่  แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ขึ้นไปเยอะมาก  ที่ลงมาก็ไม่ได้เป็นสาระอะไรเท่าไหร่

มาตอนนี้ดูเหมือนการระบาดจะรุนแรงขึ้นเยอะ  ในสเปนกับฝรั่งเศสนี่คนติดเชื้อใหม่วันละเป็นหมื่นจนเค้าเริ่มมีสั่งจำกัดการทำธุรกิจหรือรวมตัวของคน  ซึ่งรอบนี้เป็นในเมืองใหญ่อย่าง Madrid, Paris, Marseille  ในอังกฤษเองรัฐบาลก็เริ่มส่งสัญญาณว่าอาจจะมี national lockdown นะ  แต่ตอนนี้แค่มีมาตรการเข้มงวดมากขึ้นก่อน  ทำให้หุ้นกลุ่มอื่นเริ่มตก  ไม่ใช่แค่หลักๆหุ้น Tech อย่างเดียว  เข้าใจว่ามาจากการที่ตอนแรกตลาดไม่ได้คิดว่าจะมีการปิดธุรกิจในวงกว้าง  แต่ตอนนี้ดูมีความเสี่ยงว่าจะเกิดขึ้น  แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าผลกระทบมันเยอะ

โดยภาพรวมแล้วผมมองเหมือนเดิมว่าโรคระบาดเป็นปัญหาชั่วคราว  อนาคตต่อจากนี้ในระยะสั้นก็เป็นไปได้ว่าราคาหุ้นจะตกลงไปอีกถ้ามีปิดเมืองมากขึ้นจนคนกลัวว่าจะกระทบเศรษฐกิจ  ก็เป็นโอกาสอันดีเผื่อใครจะหาซื้ออะไรเพิ่ม  เนื่องจากเวลาเราเลือกซื้อหุ้นเราก็ไม่ได้หวังว่าธุรกิจจะฟื้นตอนปลายปีนี้อยู่แต่แรกแล้ว  เราก็รู้ว่ามันต้องมีวัคซีนมันถึงเริ่มกลับมาปกติ  ดังนั้นเราก็เลือกที่เราคิดว่ามันทนพิษบาดแผลได้ไปถึงอย่างน้อยกลางปีหน้าอยู่แล้ว  สถานการณ์ตอนนี้ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายหรืออะไร  ถ้าหุ้นตกลงมาก็ยอดเยี่ยม  ไม่ตกลงมาก็ไม่เป็นไร

หุ้นกลุ่มที่ดูน่าสนใจสำหรับผมก็ยังเหมือนเดิม  คือพวกที่มันได้รับผลกระทบทั้งหลาย  เราแค่ต้องระวังว่ามันรอดเท่านั้นเอง  ตัวอย่างเช่น

  • โรงแรม
  • สนามบิน
  • ที่มันเกี่ยวกับเครื่องบิน
  • รถเมล์, รถใต้ดินและการเดินทางสาธารณะต่างๆ
  • ห้าง
  • ธนาคาร, ปล่อยสินเชื่อ
  • ร้านอาหาร
  • คอนโดที่อยู่อาศัย
  • ตึกออฟฟิศ
  • ประกัน

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

บริษัทดีหรือเปล่า ? ฟังเสียงลูกค้าช่วยได้ !

How to check if a company is good? One way is to look at customer reviews.

บริษัทดีหรือเปล่า ? ฟังเสียงลูกค้าช่วยได้ !

หนึ่งในคำถามสำคัญที่เราควรมีในใจเวลาลงทุนในหุ้นอะไรก็แล้วแต่ก็คือว่าบริษัทมันเป็นบริษัทที่ดีจริงมั้ย  แล้วเราจะพิสูจน์จากอะไร

วีดิโอหัวข้อนี้ผมนำเสนอหนึ่งในวิธีที่ผมชอบใช้ครับ  นั่นคือการเช็ค customer reviews  ดูว่าลูกค้าชอบสินค้าหรือบริการของบริษัทหรือเปล่า  ขั้นตอนนี้เป็นอะไรที่ผมทำทุกครั้งที่สามารถทำได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามันเป็นบริษัทที่สินค้าหรือบริการสำหรับคนทั่วไปนี่จะยิ่งหา reviews ง่าย

วิธีการทำก็ง่ายมากเลย  คือเรา Google คำว่า review คู่กับชื่อบริษัท  แล้วก็คำว่า review คู่กับชื่อยี่ห้อสินค้าหลักๆของบริษัท  แล้วก็อ่านดูว่าเป็นยังไง  โดยรวมคนชอบมั้ย  ถ้าคนชอบเค้าชอบเพราะว่าอะไร  ถ้ามีคนบ่นเค้าบ่นเรื่องอะไร  บ่นคล้ายๆกันหรือเปล่า  พยายามเข้าใจภาพโดยรวมว่าสินค้าของบริษัทนี้นี่คนใช้จริงเค้าว่าไงกัน  สรุปเป็นบวกหรือเป็นลบ

ตอนที่ Google review คู่กับชื่อบริษัท  บางทีมันจะมี review จากมุมมองของพนักงานโผล่มาด้วย  เวปของ Indeed หรือ Glassdoor พวกนี้ก็สมควรอ่าน  อาจจะไม่ใช่ตัวสินค้าซะทีเดียว  แต่ก็ดูภาพรวมว่าพนักงานบริษัทมีมุมมองยังไงกับบริษัท

ผมให้ดูตัวอย่าง case study อันนึง  เป็นของบริษัท Grenke Group  บริษัทนี้เป็นบริษัทเยอรมันทำลีสซิ่ง

อันนี้ดูงบการเงินย้อนหลัง  ผมเอามาจาก Reuters เพราะ Morningstar เลขมันผิด  ก็ดูเหมือนทำดีขึ้นต่อเนื่องนะ

https://www.reuters.com/companies/GLJn.DE

และเมื่อเร็วๆนี้ราคาตกลงมาด้วย  น่าสนใจมะ ?

ทีนี้ผมก็ไปอ่าน review ดูว่าลูกค้าว่าไง  นี่ของ Grenke Leasing อังกฤษ

https://uk.trustpilot.com/review/grenkeleasing.co.uk

และนี่ของ Grenke Leasing ที่ Denmark

https://www.trustpilot.com/review/www.grenkeleasing.dk

ผมนี่นึกในใจ “ไอเหี้ย  มันจะห่วยอะไรได้ขนาดนี้วะ  บริษัทมันรอดมานานขนาดนี้ได้ยังไง”  แล้วปัญหาที่สำคัญกว่านั้นคือถ้าเราอ่านเนี่ย  คนส่วนใหญ่ไม่ได้ด่าการบริการหรืออะไรนะ  ส่วนใหญ่ด่าว่ามันเป็น scam คือมาหลอกลวงเลย  บางคนนี่พูดถึงพวกเอกสารจากศาลแสดงว่าเรื่องวุ่นวายมาก

จริงๆแล้วผมมีไปอ่านเจอด้วยว่าที่หุ้นตกเพราะมีบริษัทที่เน้นลงทุนแบบ Short ไปสืบแล้วออกมาประกาศว่าบริษัทนี้ต้องโกงแน่  ผมทิ้งลิ้งค์ไว้ให้  ว่าจะอ่านถ้าเบื่อๆ  https://viceroyresearch.org/wp-content/uploads/2020/09/Viceroy-Research-Grenke-AG-Sep-15-2020.pdf

แต่เอาจริงๆผมก็ไม่สนใจว่ามันโกงจริงหรือเปล่าด้วยซ้ำนะ  แค่เห็น customer reviews แบบนี้สำหรับผมนี่คือจบละครับ  เลิกดูต่อ

นี่ไงเวิร์คมั้ยวิธีนี้  ว่าแล้วอย่าลืมเช็ค customer reviews ทุกครั้งที่หาได้  โดยเฉพาะถ้ามันเป็นธุรกิจในต่างประเทศหรือกลุ่มที่เราไม่คุ้นเคยครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ขาย หรือ ถือต่อดี ? เราจะมีวิธีตัดสินใจยังไง ?

To sell or not to sell ? How to decide ?

ขาย หรือ ถือต่อดี ? เราจะมีวิธีตัดสินใจยังไง ?

ขายหรือว่ารอดีก็เป็นคำถามที่มีคนถามบ่อย  และแน่นอนว่าสถานการณ์แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันดังนั้นคำตอบมันก็ไม่ควรเหมือนกัน

ผมก็มานึกดูนะว่าปกติถ้าเป็นผมจะคิดอะไรและตัดสินใจยังไง  สุดท้ายผมสรุปออกมาว่าในการตัดสินใจ  มันมีคำถามสำคัญอยู่ข้อเดียวที่ต้องถามกับตัวเองแล้วก็ตอบแบบไม่ใช้อารมณ์ครับ  นั่นคือถามว่า “ถ้าขายออกมาแล้ว  สามารถเอาเงินไปทำประโยชน์อื่นได้ดีกว่าถือเอาไว้หรือเปล่า ?”

ถ้าคำตอบของเราคือ “ใช่” เราก็สมควรจะขาย  แต่ถ้า “ไม่ใช่” หรือ “ไม่รู้ไม่แน่ใจ” เราก็สมควรจะถือต่อครับ  แต่ย้ำอีกทีว่าระมัดระวังการใช้อารมณ์ในการตัดสิน  พิจารณาอย่าเผลอลำเอียงหรือมี bias ล่ะ

ผมยกตัวอย่างให้นะ

เคสล่าสุดที่มีคนถาม  เค้าบอกว่าถือหุ้นที่เป็นวัฎจักรอยู่แล้วตอนนี้ขาดทุน 50%  ควรขายหรือควรถือต่อรอดี  เราก็คิดก่อนเลยว่า “ถ้าขายออกมาแล้ว  สามารถเอาเงินไปทำประโยชน์อื่นได้ดีกว่าถือเอาไว้หรือเปล่า ?”  นึกดูก่อนว่าถ้าตอนนี้ขายออกมาจะเอาเงินไปทำอะไร  มีโอกาสอย่างอื่นที่ดูแล้วน่าจะซื้อได้มั้ย  แล้วคาดว่าผลตอบแทนจะดีขนาดไหนภายในระยะเวลาเท่าไหร่  แล้วก็เทียบกับกรณีที่ไม่ขายคือรอจนหุ้นวัฎจักรนั่นวนกลับมาอยู่ในช่วงที่บริษัททำได้ดี  มันน่าจะใช้เวลาอีกนานมั้ยแล้วคาดว่าจะได้ผลตอบแทนขนาดไหน

สมมติถ้าคำตอบมันออกมาประมาณว่า  ขายออกมาเอาเงินไปซื้อหุ้นอื่นตอนนี้หาโอกาสดีๆได้อยู่เพราะโควิด  แล้วน่าจะกำไร 2 เท่าได้เมื่อโควิดผ่านไปตีซะภายในระยะเวลา 2 ปี  ส่วนถ้าถือต่อก็เชื่อว่าบริษัทวัฎจักรนี้จะวนกลับมาทำได้ดีใน 4-5 ปีข้างหน้าและก็น่าจะกำไร 2 เท่าเหมือนกัน  แบบนี้ก็แปลว่าสมควรขาย

แต่ถ้าสมมติคำตอบออกมาว่า  ขายออกมาก็ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไรดี  ตอนนี้ไม่มีหุ้นอะไรที่รู้สึกว่าเป็นโอกาสแล้วสบายใจที่จะลงทุน  น่าจะฝากธนาคารมั้ง  ส่วนถ้าถือต่อก็เชื่อว่าบริษัทนี่จริงๆไม่ได้มีปัญหา  แค่ว่าอยู่ในช่วงวัฎจักรที่ชะลอทั้งอุตสาหกรรม  เชื่อว่าใน 4-5 ปีข้างหน้าเมื่ออุตสาหกรรมฟื้นก็น่าจะกลับมาทำได้ดีและราคาสูงขึ้นมาเป็น 2 เท่าจากตอนนี้  แบบนี้ก็ควรจะถือต่อ

หรืออีกเคสนึง  สมมติกรณีซื้อบริษัทนึงมาคาดว่าผลประกอบการจะทำได้ดี  แต่พลาดคือผลประกอบการแย่ลงต่อเนื่องมา 2 ปีละ  แล้วเมื่อพิจารณาอนาคตของธุรกิจก็น่าจะแพ้คู่แข่งไปยาวๆ  เวลาตัดสินใจก็ทำเหมือนเดิมคือถามตัวเองว่า “ถ้าขายออกมาแล้ว  สามารถเอาเงินไปทำประโยชน์อื่นได้ดีกว่าถือเอาไว้หรือเปล่า ?”

ถ้าคำตอบคือ  ขายออกมาก็ไม่รู้เอาไปทำอะไรนะ  คงฝากธนาคารไว้ก่อน  ส่วนถ้าถือต่อไปแนวโน้มก็คือบริษัทจะทำได้แย่ลงและราคาก็มีแนวโน้มจะแย่ลงตาม  แน่นอนว่ามันอาจจะเกิดปาฏิหารย์ที่ราคาโดดขึ้นมาได้ไงไม่รู้แล้วทำให้เรามีโอกาสขาย  แต่นั่นมันคือฟลุคและไม่น่าจะเกิดขึ้น  แนวโน้มคือจะเละ  แบบนี้ก็ขายไง

แล้วมันก็ทำแบบนี้กับกรณีที่กำไรแล้วสงสัยว่าควรจะขายหรือยังด้วยนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/courses

หรือ ทดลองเรียนฟรี