อัพเดต – Lookers (ครั้งที่ 2)

Update – Lookers (2nd time)

As of Feb 13, 2018                        ราคาอยู่ที่ 87.05p

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับหุ้นบริษัทนี้ไปเมื่อ July 8, 2017  http://www.adisonc.com/stock-in-my-focus-lookers/

ตอนนั้นก็ว่าน่าสนใจแล้ว  ตอนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะราคาถูกลงไปกว่าช่วงนั้นอีกพอสมควร  จากตอนผมเขียนถึงมันราคา 116.25p  ตอนนี้ราคาถูกลงมากว่าตอนนั้น -23% ได้

ความเดิมตอนที่แล้ว

บริษัทนี้ราคาตกรุนแรงด้วยความกังวลว่ายอดขายรถจะตกเพราะปัจจัยทางเศรษฐกิจโดยรวม  รวมถึงความกังวลเรื่อง Brexit ด้วย

มาถึงตอนนี้

ยอดขายรถใหม่ในอังกฤษก็ตกตามที่คนคาดไว้  โดยรวมทั้งปี 2017 เทียบกับปี 2016 จำนวนรถใหม่ที่ขายลดลง -5.7%  และล่าสุดถ้าเทียบเดือนมกราคมปี 2018 เทียบกับ มกราคมปี 2017  จำนวนรถใหม่ที่ขายลดลง -6.3%  ที่มาไปดูได้ที่  https://www.smmt.co.uk/vehicle-data/

เข้าใจว่าเลยเป็นเหตุให้ราคาหุ้นตกลงไปอีก

แล้วผมว่าไง

ตื่นเต้นดีใจเลยแหละ  และซื้อหุ้นบริษัทนี้เพิ่มไปแล้วด้วย

ที่น่าสนใจคือ  เมื่อเดือนกันยายน 2017  บริษัท Lookers ออกมาบอกว่ายอดขายเค้าเพิ่มขึ้นด้วยทั้งรถใหม่และรถมือสอง  เพิ่มขึ้นทั้งจากยอดขายดีลเลอร์เดิมที่ตัวเองเป็นเจ้าของอยู่แล้วและเพิ่มจากดีลเลอร์ใหม่ที่บริษัทไปซื้อกิจการมา  ในขณะที่ ณ เดือนกันยายน 2017 ยอดขายรถใหม่ของทั้งอุตสาหกรรมตกอยู่ -3.9%

แต่ยังไงก็ดีผมเชื่อว่าถ้ายอดขายรถตกทั้งอุตสาหกรรม  ยังไงบริษัทนี้ก็ไม่รอด  มันต้องมีผลกระทบบ้างอยู่แล้ว

ประเด็นสำคัญคือราคามันถูกเหลือเกิน  อย่างตอนนี้มันราคา 89p ใช่มั้ยครับ  แค่กำไรต่อหุ้นของครึ่งปี 2017 ก็ 9.07p ละ  แปลว่าเฉพาะผลกำไรครึ่งปี  อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นก็ 10.11% ละ  ถ้ากะเอาหยาบๆว่าทั้งปี 2017 กำไรเป็นประมาณ 18p (เดาเอาจาก 9.07 คูณ 2 ตรงๆ)  อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นก็เป็น 20.22%  หรือก็คือ P/E บริษัทนี้อยู่ 4.94 เท่าแค่นั้นเอง

สมมติยอดขายรถตก  เรากะเอาแบบเผื่อๆเลย  เอาว่ากำไรปี 2018 ทั้งปีทำได้แค่เท่ากับปี 2017 ครึ่งปี  ซึ่งคือ 9.07p  ด้วยราคานี้ที่ 89p  มันก็ถูกมากอยู่ดี  (P/E อยู่ 9.81)

อัพเดท – Dignity (ครั้งที่ 2)

Update – Dignity (2nd time)

As of Feb 13, 2018                        ราคาอยู่ที่ 783.70p

 

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับ Dignity Plc ไปเมื่อ December 2, 2017  http://www.adisonc.com/stock-in-my-focus-dignity/

ตอนนี้ยิ่งน่าสนใจเข้าไปอีกเพราะราคาถูกลงไปอีกเยอะเลย  จากตอนผมเขียนถึงครั้งที่แล้วราคา 1,624p  ตอนนี้ราคาตกลงมาอีก -48% ได้  เลยต้องมาเขียนถึงเพิ่มเติมอัพเดทซักหน่อย

ความเดิมตอนที่แล้ว

หลักๆเลยสาเหตุที่ทำให้หุ้นบริษัทนี้ราคาตก  เป็นเพราะความกังวลเรื่องการแข่งขัน  ซึ่งทางผู้บริหารของบริษัทเป็นคนออกมาพูดเองเลยว่ามีคู่แข่งเข้ามาตัดราคาเยอะขึ้น

มาถึงตอนนี้

ผลประกอบการทั้งปี 2017 ออกมาไม่มีปัญหาอะไร  แต่สิ่งที่คนตกใจคือเมื่อตอนเดือนมกราคม  บริษัท Dignity ประกาศว่าปี 2018 จะมีการลดราคาค่าบริการจัดงานศพแบบประเภทพื้นฐานลงประมาณ 25% (ซึ่งถือว่าลดราคาเยอะอยู่นะ)  และ จะไม่เพิ่มราคาค่าบริการจัดงานศพแบบเต็มรูป (งานประเพณีดั้งเดิม)

ทางบริษัทแจ้งชัดเจนเลยว่าด้วยผลจากการปรับราคาที่ลดลงเพื่อแข่งขันในตลาด  ยังไงผลประกอบการปี 2018 คาดการณ์ว่าจะไม่ดีอย่างที่คาดกันไว้แต่แรก

ลองไปอ่านเพิ่มเติมดูเองได้ที่  https://www.dignityfunerals.co.uk/corporate/investors/news/press-releases/2018-01-19/1077/pre-close-trading-update-and-market-positioning/

แล้วผมว่าไง

ตื่นเต้นดีใจเลยแหละ  เสียดายคือได้ซื้อไปบ้างแล้ว  เลยซื้อเพิ่มไปอีกครับ

หลักๆเลยคือผมคิดว่าคนตกใจรุนแรงเกินเหตุ  และราคาตอนนี้มันถูกเกินไป

  1. รายได้จากงานศพแบบพื้นฐาน คิดเป็นแค่ 20% ของรายได้จากธุรกิจรับจัดงานศพที่บริษัทจัดทั้งหมด  ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่ได้ใหญ่อะไรนัก  ราคาที่ลดลง 25% แน่นอนทำให้กำไรน้อยลง  แต่ก็อาจจะไม่ได้หายไปหมดซะทีเดียวเพราะด้วยราคาที่ลดลงก็เชื่อว่าจะขายได้ปริมาณมากขึ้น
  2. ราคาตอนนี้มันถูกเหลือเกิน กำไรครึ่งปีของ 2017 อยู่ที่ 5p  เนื่องจากเต็มปียังไม่ออกเราลองประมาณดูก่อนสมมติว่าคูณสอง  กำไรเต็มปี 2017 น่าจะอยู่ที่ 145p  ด้วยราคาตอนนี้อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นเทียบกับราคาหุ้นจะเป็น 18.5%

สมมติให้ปี 2018 ทั้งปีกำไรหดลง  เหลือแค่เท่ากับครึ่งเดียวของปี 2017  ก็คือ 72.5p  ด้วยราคาตอนนี้อัตราส่วนกำไรต่อหุ้นที่กะว่าลดแล้วเทียบกับราคาหุ้นจะเป็น 9.25%  หรือคิดเป็น P/E 10.81 เท่า  ซึ่งแปลว่าคิดแบบหยาบๆไม่ต้องทำ projection ประมาณการณ์อะไรซับซ้อน  ด้วยราคานี้ต่อให้ปีหน้ากำไรบริษัทตกลงครึ่งนึงมันก็ยังถูกมากเลย

หุ้นที่ผมสนใจ – WPP

Stock in my focus – WPP

 

As of February 7, 2018                ราคาหุ้นอยู่ 1,237.98 p

บริษัทนี้คนแวดวงสื่อโฆษณาต้องรู้จัก  กลุ่มบริษัท WPP เป็นผู้ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลก  และช่วงที่ผ่านมานี้ราคาตกรุนแรงทีเดียวจนเริ่มน่าสนใจ  วันนี้ผมเลยมาพูดถึงให้รู้จักไว้ครับ

wpp-our-9-billion-dollar-brand

ลักษณะธุรกิจ

บริษัทนี้เริ่มต้นใน 1986 ทำธุรกิจให้บริการทำการตลาดแบบ Below-the-line  ถายหลังขยายไปทำทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการตลาด

ปัจจุบัน WPP เป็นกลุ่มบริษัทที่ให้บริการด้านสื่อสารการตลาดให้กับลูกค้าทั่วโลก  มีบริษัทลูกที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในอุตสาหกรรมด้านต่างๆที่ผมเชื่อว่าคนทำงานสายงานนี้ต้องรู้จักแน่นอน  เช่น

  • กลุ่มออกแบบโฆษณา เช่น Ogilvy & Mather, Y&R, J. Walter Thompson
  • กลุ่มวางแผนซื้อสื่อโฆษณา เช่น Mindshare, Maxus, Mediacom
  • กลุ่มวิจัยการตลาด เช่น Milward Brown, TNS
  • กลุ่ม PR ประชาสัมพันธ์ เช่น Burson-Marsteller, Cohn & Wolfe
  • กลุ่มการตลาดตรง, ดิจิตัล เช่น Wunderman

 

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

ช่วง 10 ปีที่ผ่านบริษัทนี้ก็ทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆจากการควบรวมกิจการและจากการเติบโตของเศรษฐกิจ  มีช่วงที่ผลประกอบการแย่ลงบ้างอย่างช่วงปีหลังวิกฤติ 2008 ในอเมริกา  แต่นั่นมันก็ค่อนข้างปกติเพราะช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีลูกค้าก็จะลดการโฆษณาลง

สาเหตุที่บริษัทนี้ทำได้ดีอย่างสม่าเสมอผมเชื่อว่ามาจากเรื่องชื่อเสียงความน่าเชื่อถือของบริษัทลูกและการที่บริษัทมีการลงทุนเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง  ยิ่งถ้าบริษัทได้งานจากลูกค้าขนาดใหญ่ทำโปรเจคใหญ่บริษัทก็ยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ  อย่างลูกค้ากลุ่มที่เป็นบริษัทใหญ่ๆใน Fortune 500 เวลาเปิดให้คนเข้ามาเสนองานเค้าก็จะให้ไม่กี่เจ้าเข้ามาแข่ง  และส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว  ดังนั้นบริษัทที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วเคยรับงานขนาดใหญ่อยู่แล้วก็จะได้เปรียบ

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านโดยรวมแล้วนอกเหนือจากยอดขายที่สูงขึ้นแล้ว  บริษัทยังสามารถขยายอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (Profit before interest and tax) ได้ด้วย  เข้าใจว่ามาจากการรวบพวกแผนกงานหลังบ้านต่างๆเช่นบัญชีการเงินมารวมกันอยู่ที่สำนักงานใหญ่จุดเดียวทำให้ประหยัดมากขึ้น  คุณ CEO (Sir Martin Sorrell) ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับการควบคุมพวกเรื่องค่าใช้จ่ายการบริหารต่างๆ  ซึ่งเป็นอะไรที่ดีมาก

 

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

ราคาหุ้นตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่แล้วปี 2017 ละ  ตกจากแถว 1,900p ลงมาตอนนี้อยู่แถว 1,300p

สาเหตุหลักน่าจะมาจากเรื่องต่างๆต่อไปนี้

  1. ยอดขายต่ำลงถ้าไม่นับส่วนเพิ่มจากการควบรวมกิจการ หลักๆเลยมาจากทางโซนฝั่งอเมริกาที่ยอดขายต่ำลงเกือบ 5% ได้
  2. คนกังวลว่าจะโดน Google กับ Facebook เข้ามาแข่ง เพราะปัจจุบัน Google กับ Facebook มีความพยายามสร้างเครื่องมือให้คนที่จะโฆษณาสามารถจัดการการซื้อสื่อหรือโฆษณาได้ด้วยตัวเอง
  3. งบโฆษณาการตลาดเทไปทางดิจิตัลกับออนไลน์มากขึ้น และบริษัทที่เป็นพวกที่ปรึกษาด้าน IT อย่าง Accenture, Deloitte, IBM กับ PwC เข้ามาแข่ง

สำหรับเรื่องบริษัทลูกค้าลดการใช้จ่ายด้านโฆษณาหรือปัจจัยทางเศรษฐกิจต่างๆผมไม่ค่อยห่วง  เพราะเรื่องแบบนี้มันมีขึ้นลงเป็นระยะอยู่แล้วตามปกติ  ยิ่งช่วงนี้เศรษฐกิจโลกเติบโต GDP กำลังซื้อคนเพิ่มขึ้นแทบจะทุกทวีป  มันต้องทำให้บริษัทลูกค้าต่างๆเพิ่มการใช้จ่ายด้านโฆษณาการตลาดแน่นอนอยู่แล้ว

ส่วนเรื่อง Google กับ Facebook กับการที่คนย้ายไปดิจิตัลมากขึ้นทำให้การซื้อสื่อทำได้ง่ายขึ้นคนจัดการด้วยตัวเองได้มากขึ้นก็จริง  แต่ด้วยการแข่งขันสุดท้ายมันก็ไม่ใช่วัดกันแค่ซื้อสื่อหรือเลือกคียเวิร์ดอย่างเดียว  มันแข่งกันด้วยความคิดสร้างสรรค์การออกแบบวิธีการสื่อสารไอเดียให้น่าสนใจด้วย  และนี่คือมูลค่าเพิ่มที่บริษัทในกลุ่ม WPP ทำได้  ยกตัวอย่างเช่น ad ที่ขึ้นมาไม่กี่วินาทีของ Youtube เป็นต้น  แค่ไปจ่ายเงินให้ Google เอาเวลาโฆษณานี่ใครๆก็ทำได้  แต่การที่จะใส่ไอเดียลงไปในเวลาสั้นมากๆให้เกิดผลลัพธ์ขายของได้มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น

คู่แข่งใหม่จากฝั่งบริษัทที่ปรึกษา IT พวก Accenture, Deloitte, IBM กับ PwC  ในอนาคตไม่แน่  แต่ในเวลาสั้นๆก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะพัฒนาเรื่องความสร้างสรรค์มาแข่งกับบริษัทในกลุ่ม WPP ที่ทำพวกเรื่องงาน Creative และเก็บข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคมานานได้  เพราะว่าของพวกนี้มันสร้างด้วยไอเดียคนซะเยอะ  แต่บริษัทกลุ่มที่ปรึกษา IT โดยรากฐานคือมาจากการสร้างและจัดการระบบให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดลดต้นทุน  เน้น Efficiency ไม่ใช่ Creativity

ดังนั้นโดยสรุปผมเชื่อว่าบริษัทอย่าง WPP ที่ปัจจุบันก็โฟกัสไปที่การทำตลาดดิจิตัลมากขึ้น  จะยังทำได้ดีต่อไปในอนาคตอีกนาน  และด้วยเหตุผลว่าคนตกใจราคาตกลงมารุนแรง  หุ้น WPP ก็เลยเป็นอะไรที่ผมให้ความสนใจมากในเวลานี้ครับ

เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 13 – ตัดปัญหาเรื่องวินัย ซื้อกองทุนรวมแบบอัตโนมัติ

Improve your financial life 13 – Automate As Much As Possible

discipline-is-the-bridge-between-goals-and-accomplishment

ปัญหาหลักอันดับหนึ่งที่ทำให้คนเงินไม่พอตอนเกษียณก็คือไม่ได้ออมเนี่ยแหละ แล้วสาเหตุที่คนไม่ได้ออมส่วนใหญ่ผมพบว่ามันเป็นเรื่องของการขาดวินัย บางคนใช้จ่ายเพลินควบคุมตัวเองไม่ได้ วางแผนไว้บางทีก็ยังมีหลุด ข่าวดีคือปัจจุบันมันมีวิธีแก้แล้วครับ นั่นคือการให้บริษัทจัดการลงทุนตัดบัญชีเราไปลงทุนให้แบบอัตโนมัติไปเลย
นึกถึงความง่ายดายในการสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพครับ เวลาเงินเดือนออกบริษัทที่เค้าจะหักเงินส่วนหนึ่งสมทบเข้ากองทุนทุกเดือนใช่มั้ย เราไม่ต้องทำอะไรเลยไม่มีความยุ่งยากใดๆทั้งสิ้น ไอเดียมันแบบนั้นเลยเพียงแต่คราวนี้เราเป็นคนไปบอกกับบริษัทจัดการกองทุนที่เราชอบด้วยตัวเอง แล้วอนุญาตให้เค้าหักเงินเราจากบัญชีธนาคารเลย
สิ่งที่มันยอดเยี่ยมเกี่ยวกับการลงทุนอัตโนมัติคือ

1. แก้ปัญหาเรื่องวินัย

ซึ่งตรงนี้หลายคนมีปัญหาทั้งที่รู้ว่าการออมสำคัญและเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่บางทีมันคุมสติไม่อยู่ไงเผลอใช้เงินนู่นนี่ไปก่อนทำให้เหลือเงินไว้ออมไม่พอกับเป้าหมาย ซึ่งมันก็ไม่ผิด เราแค่ต้องยอมรับกับตัวเองว่าเราขาดวินัยและถ้าปล่อยให้ออมไม่พอไปเรื่อยๆเราจะมีปัญหาในอนาคต แล้วใช้เครื่องมือนี้ช่วยบังคับตัวเองไปเลย

2. ตัดปัญหาเรื่องการกะจังหวะ

หลายคนที่ซื้อกองทุนรวมติดความรู้สึกว่าจะต้องกะจังหวะซื้ออะไรซักอย่าง เอาจริงๆคือยังไงเราก็กะไม่ถูกดังนั้นไม่ต้องเสียเวลาเลยดีกว่า

3. มักจะได้ถูกกว่าคนซื้อปลายปี

คนส่วนใหญ่มันจะรอซื้อ LTF, RMF ตอนช่วงปลายปี ช่วงนั้นพอคนแห่ซื้อกันเยอะๆหน่วยลงทุนมันก็เลยมักจะแพง ส่วเราถ้าซื้อเฉลี่ยเท่ากันทุกๆเดือนแนวโน้มคือเราจะได้มาที่ราคาถูกกว่า

แล้วถ้าสนใจต้องทำอย่างไร
1. ศึกษาหากองทุนที่เราชอบ

เลือกก่อนว่าจะไปลงทุนกองไหนดี เลือกได้มากกว่าหนึ่ง

2. ติดต่อบริษัทจัดการกองทุนนั้น

เปิดเวปเค้าหรือโทรเข้าไปก็ได้ครับ แล้วบอกเค้าเลยว่าต้องการจะลงทุนซื้อหน่วยลงทุนแบบประจำ ถามเค้าว่าต้องทำอะไรยังไงบ้าง ผมเข้าใจว่ามีบริการแบบนี้ทุกบริษัทแหละ

3. กรอกแบบฟอร์ม

โดยปกติก็ให้รายละเอียดที่จำเป็นให้เค้านั่นแหละ ระบุชื่อกองทุนรวมที่จะให้ซื้อ, ข้อมูลตัวเรา, สั่งซื้อเป็นเงินเท่าไหร่, ซื้อทุกเดือนมั้ยหรือทุกสามเดือนหรือยังไง, ซื้อวันที่เท่าไหร่, หักเงินจากบัญชีธนาคารไหนเลขบัญชีอะไร ประมาณนี้

แนะนำอยู่อย่างนึงสำหรับคนที่ทำงานประจำคือ ให้เค้าตัดเงินวันที่เงินเดือนออกเลยครับ จะได้ชัวร์ว่าจะมีเงินอยู่ในบัญชีแน่นอนและเราจะได้กันเงินสส่วนหนึ่งไว้ออมแน่นอน ทำเพื่ออนาคตเราก่อนครับ

เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 12 – ประเมินกองทุนที่เราลงทุนอยู่

Improve your financial life 12 – Review your mutual fund

dogbert-investment

ถึงแม้ว่าผมก็ไม่ค่อยถนัดหัวข้อนี้เพราะปกติลงทุนในหุ้นเลือกด้วยตัวเองมาโดยตลอด  แต่ไม่พูดถึงก็ไม่ได้เพราะเดี๋ยวนี้คนที่ลงทุนอยู่ในกองทุนรวมมีเยอะมาก  กองทุนรวมเองก็มีหลายกองมาก  และหลายคนเลือกกองทุนจากที่คนของธนาคารแนะนำโดยไม่ได้มีโอกาสเปรียบเทียบอะไรเลย  วันนี้เราพูดถึงไอเดียในการประเมินกองทุนรวมกันครับ

ก่อนเริ่มต้องอธิบายนิดนึงว่าการประเมินกองทุนรวมเป็นอะไรที่ยากมาก  ยากกว่าประเมินหุ้นแน่นอน  เพราะอย่างหุ้นนี่คือเราพิจารณาตัวธุรกิจเป็นหลัก  มันเห็นภาพได้จากลักษณะธุรกิจที่เค้าทำแนวโน้มต่างๆนู่นนี่  แต่กองทุนรวมมันคือเราเอาเงินไปฝากให้คนอื่นบริหาร  แล้วคนอื่นคนนั้นถึงไปลงทุนจริงอีกที  ซึ่งเค้าจะไปลงทุนเท่าไหร่อย่างไรเรารู้แค่คร่าวๆเท่านั้นจากนโยบายการลงทุนที่เค้าประกาศ  แถมคนบริหารที่เป็นคนตัดสินใจก็เปลี่ยนคนได้ตลอดด้วยนะแม้ว่าจะเป็นกองทุนชื่อเดิมก็ตาม

เครื่องมือที่ดีที่สุดที่ผมรู้จักเป็นของ Morningstar  ปกติบริษัทนี้เค้าดังเรื่องเปรียบเทียบกองทุนอยู่แล้ว  มีที่เป็นของกองทุนรวมประเทศไทยด้วย  ใช้เวปนี้เลยครับ  ลองเข้าไปเล่นดู http://tools.morningstarthailand.com/th/fundquickrank/default.aspx?Site=th&LanguageId=th-TH

อย่างที่เห็น  มันจะมีให้เราหาเปรียบเทียบได้หลายแบบมาก  เวลาใช้ก็หาเริ่มจากประเภทกองทุนที่เราสนใจก่อน  จะแบ่งตาม AIMC หรือแบ่งตามประเภทสินทรัพย์ที่ไปลงทุน  หรือแบ่งว่าเป็น LTF, RMF ก็แล้วแต่เรา  ทีนี้สิ่งที่เราควรพิจารณาประเมินกองทุนรวมมีเรื่องอะไรบ้าง  ผมพูดถึงเกณฑ์ที่บริษัท Morningstar เค้าใช้ประเมินก่อนละกัน

  1. People

คนที่บริหารกองทุนเป็นใคร  เค้ามีความได้เปรียบกว่าคนอื่นอย่างไร  มีประสบการณ์มาแบบไหนกี่ปี  มีผลงานแบบไหนมา  ตัวผู้บริหารกองทุนลงทุนเงินของตัวเองในกองทุนที่ตัวเองบริหารหรือเปล่า  แล้วปกติมีการเปลี่ยนผู้บริหารกองทุนบ่อยหรือไม่

  1. Process

นโยบายการบริหารการลงทุนของกองทุนนี้เปนอย่างไร  ใช้วิธีลงทุนแปลกๆหรือเป็นวิธีที่ถูกพิสูจน์มาก่อนแล้ว  แล้วตัวผู้บริหารกองทุนมีประสบการณ์บริหารนโยบายการลงทุนแบบนี้หรือเปล่า

  1. Parent

บริษัทแม่ที่เป็นเจ้าของกองทุนนี้เป็นใคร  ผู้บริหารกองทุนของบริษัทนี้เข้าออกบ่อยหรือเปล่า  บริษัทมีแนวทางการบริหารแบบไหนมองระยะยาวหรือระยะสั้น  คุณภาพของทีมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นยังไง  ไม่เคยมีประวัติทำผิดอะไรกับกลต.ใช่มั้ย  เราจะฝากเงินของเราไว้ยาวๆกับบริษัทนี้ได้หรือเปล่า

  1. Performance

ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาภายใต้การบริหารของผู้บริหารกองทุนคนนี้เป็นอย่างไร  ยิ่งถ้ามีประวัติผลงานนานหลายปีก็จะทำให้เราไว้ใจได้มากขึ้น  เราอยากรู้ว่ากองทุนนี้ทำได้ดีหรือแย่กว่าตลาดในระยะยาวหรือในสถานการณ์ต่างๆ  ถ้าเป็นไปได้เราอยากได้ความสม่ำเสมอในผลการดำเนินงาน

  1. Price

ค่าใช้จ่ายที่เราต้องเสียให้กองทุนนี้เป็นอย่างไร  มีค่าธรรมเนียมตอนเข้า-ออกมั้ย  ค่าธรรมเนียมการบริหารเป็นเท่าไหร่  สูงกว่าหรือต่ำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับกองทุนอื่น

อย่างที่เห็นว่าเกณฑ์นี้ก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลอยู่  แต่ถึงเวลาทำจริงผมก็นึกไม่ออกว่าพวกเราที่เป็นนักลงทุนรายย่อยจะไปหาข้อมูลเรื่อง People, Process กับ Parent ได้ยังไง

โดยความเห็นส่วนตัวผมจะให้ความสำคัญเรียงตามนี้

  1. ดู Price ก่อน

เพราะเป็นอะไรที่ชัวร์สุดละ  เนื่องจากเราไม่มีทางรู้เลยว่าอนาคตกองทุนจะยังทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมา  แต่ที่ชัวร์คือค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่าย  ดังนั้นผมจะเลือกกองทุนที่ค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นต่ำไว้ก่อน  ไม่เอากองทุนที่มีค่าธรรมเนียมเข้า-ออก

เวลาใช้เวป Morningstarthailand  ในหมวดจัดลำดับกองทุน  กดตรงหัวข้อ “ค่าธรรมเนียมและอื่นๆ”  มันก็จะโหลดหน้าที่เน้นจัดลำดับตามค่าธรรมเนียมขึ้นมา

ให้ความสำคัญกับ Total Expense Ratio  อันนี้คือค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นคิดเป็น %  ก็คือเงินเรา 100 บาทจะหายไปกับค่าธรรมเนียมนู่นนี่นั่นกี่บาท  กดให้มันเรียงตามค่านี้เลยก็ได้  ยิ่งน้อยยิ่งดี

หัวข้ออื่นอย่าง Management Fee, Max Initial Fee มันจะขึ้นเลขที่กองทุนนั้นประกาศไว้ว่าเป็นค่าสูงสุดที่อาจจะเก็บ  เช่นถ้า Management Fee เขียนว่า 3%  แปลว่ากองทุนนี้เค้าประกาศไว้ว่าค่าธรรมเนียมการบริหาร (Management Fee) สูงสุดคือ 3%  แต่เก็บจริงอาจจะต่ำกว่านั้น  ดังนั้นตรงหัวข้อพวกนี้อาจจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่  พวกค่าธรรมเนียมเข้า-ออกเราต้องไปอ่านดูจากรายงานล่าสุดของตัวกองทุนนั้นๆว่าปัจจุบันเค้าเก็บจริงอยู่เท่าไหร่

  1. แล้วมาดู Performance ประกอบอีกที

อันนี้ก็ดูประกอบเฉยๆแหละ  ผลงานกองทุนในอดีตไม่ได้การันตีผลงานในอนาคตก็จริง  แต่มันก็ใช้เป็นเครื่องบ่งชี้คร่าวๆได้บ้าง

เวลาจัดลำดับกองทุน  กดดูภายใต้หัวข้อ “ผลตอบแทนระยะยาว”  พยายามดูที่ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี (แถวขวาสุด)  หรืออย่างน้อยก็ย้อนหลัง 5 ปี (แถวที่สองจากขวา) เพราะบางกองทุนอาจจะอายุไม่ถึง 10 ปี

ตัวเลขนี้ก็ดูว่าอย่าให้มันต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดก็เป็นใช้ได้  ต่ำกว่านิดเดียวเป็นจุดทศนิยมยังพอรับได้  แต่ถ้าต่ำกว่าเป็นหลาย % นี่ไม่ไหวนะ  ถ้าให้ดีก็เลือกที่ผลตอบแทนเฉลี่ยย้อนหลังดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด  แต่อย่าลืมว่าผลตอบแทนในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้อนาคต

ถ้าไม่ทราบว่าค่าเฉลี่ยผลตอบแทนของกองทุนแต่ละประเภทคือเท่าไหร่  ไปดูของเวป AIMC (สมาคมบริษัทจัดการลงทุน)  หรือไม่ก็โหลดอันนี้เลย  https://drive.google.com/open?id=1ylcPd-g90of-XX_oWrjcRKwR3rPSoZwK

ลองไปเล่นดูครับ  แต่อย่าไปกังวลว่าจะต้องหากองทุนที่ดีที่สุด  หาที่มันโอเคได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยนิดนึงก็ใช้ได้แล้ว

เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 11 – แผนสำหรับคนที่เกษียณแล้วล่ะเป็นอย่างไร

Improve your financial life 11 – How Retirees Can Estimate How They're Doing

dont-worry-retire-happy

ถ้าสมมตินี่เราเกษียณแล้วและกำลังเริ่มดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้ยามเกษียณมาใช้  มาถึงตรงนี้จะพูดภึงการออมอะไรก็ไม่ทันแล้ว  สิ่งที่ทำได้หลักๆเลยคือการควบคุมอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้  คำถามสำคัญคือเราใช้จ่ายได้เท่าไหร่ถึงจะไม่ทำให้เงินเกษียณหมดเร็วเกินไป

จริงๆเรื่องนี้ถ้าจะเอาให้ดีเราอาจจะต้องหาที่ปรึกษาทางการเงินมาช่วยวางแผน  เพราะสถานการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่โอเควันนี้เราจะพูดถึงหลักการพื้นฐานที่ทุกคนควรจะต้องรู้เกี่ยวกับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้  เราจะคำนวณมันอย่างไร  แล้วโดยปกติมันควรจะเป็นเท่าไหร่ดี

  1. คำนวณหาอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปัจจุบันของเรา

คำนวณโดยการรวบรวมรายจ่ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นในรอบปี  จะทำการประมาณการเอาหรือจะใช้ของจริงเลยได้ก็ยิ่งดี  จากนั้นหักรายได้ที่ได้ประจำจากแหล่งอื่นที่ไม่เป็นการดึงเงินจากส่วนที่สะสมไว้เกษียณมาใช้  เช่นเงินบำนาญชราภาพจากประกันสังคม, เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ, บำนาญจากประกันชีวิต, รายได้จากปล่อยเช่าห้องคอนโด, ฯลฯ  พอหักส่วนนี้ออก  ตัวเลขที่ได้คือส่วนของค่าใช้จ่ายที่เราจะต้องดึงเงินเก็บจากส่วนที่สะสมไว้มาใช้  เอาเลขตัวนี้ตั้งจากนั้นหารด้วยมูลค่าของเงินที่สะสมไว้ทั้งหมดก็จะได้อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรา

สมมติคนเกษียณต้องมีเงินใช้ปีละ 240,000 บาท  ได้รับเงินบำนาญจากประกันสังคมปีละ 60,000 บาท  เหลือส่วนที่ต้องดึงออกมาจากเงินที่สะสมไว้ปีละ 180,000 บาท  ถ้าเค้ามีเงินสะสมไว้สำหรับเกษียณ 4,000,000 บาท  แปลว่าคนนี้ก็จะมีอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ปีละ 4.5%  แต่สมมติต้องดึงเงินมาใช้ปีละ 400,000 บาท  อัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ก็จะเป็นปีละ 10%

  1. ดูว่าอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ของเรามันสูงไปมั้ย

โดยปกติตัวเลขที่นิยมใช้กันเป็นมาตรฐานคือเริ่มต้นปีแรกที่ 4%  แล้วจากนั้นค่อยๆปรับการใช้ตามความจำเป็นของเงินเฟ้อขึ้นไปในแต่ละปี  มีงานวิจัยศึกษาหลายอันที่พูดถึงและยืนยันตัวเลขนี้ว่าเป็นตัวเลขอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ที่ค่อนข้างปลอดภัย

เหตุผลหลักคือสมมติคิดแบบหยาบๆใช้ปีละ 4% กว่าจะหมดก็ใช้เวลา 25 ปี  ถ้าเราเกษียณตอนอายุ 60 ปี  ก็จะหมดตอนอายุ 85 ปี  หรือถ้าเกษียณเร็วอายุ 55 ปี  เงินก็จะหมดตอนอายุ 80 ปี  ซึ่งโดยคร่าวๆก็เป็นอายุเฉลี่ยของเราพอดี

เหตุผลที่สองคือ 4% เป็นตัวเลขที่ไม่สูงเกินไป  ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนเงินสะสมในแต่ละปีจะช่วยทดแทนส่วนที่เราใช้ไปได้บ้าง  เพื่อให้เห็นภาพดูตัวอย่าง

ตัวอย่าง 1

ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสมทั้งก้อน 100% ไว้ในกองทุนตราสารหนี้ทั่วไป  ซึ่งคาดหวังผลตอบแทนประมาณ 2.5%

ต้นปีจากเงิน 100 บาท  เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน  มันจะเหลือ 96 บาท

เงิน 96 บาทต้นปี  ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 2.5% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 2.4 บาท

ปลายปีจะเรามีเงิน 98.4 บาท

ตัวอย่าง 2

ถ้าหลังเกษียณเราลงทุนเงินสะสม 80% ตราสารหนี้  20% หุ้น  ผลตอบแทนคาดหวังจะเป็นประมาณ 3.87%

ต้นปีจากเงิน 100 บาท  เราถอนออกมาใช้ 4 บาททุกปีตามแผน  มันจะเหลือ 96 บาท

เงิน 96 บาทต้นปี  ในระหว่างปีลงทุนผลตอบแทนได้มา 3.87% ของ 96 บาทคิดเป็นเงิน 3.71 บาท

ปลายปีจะเรามีเงิน 99.71 บาท

จะเห็นว่าเงินของเรามันจะหายไปช้าลงถ้าเราลงทุนได้ผลตอบแทนดีขึ้น

  1. ปรับอัตราการดึงเงินสะสมมาใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ของเรา

มาตรฐานที่บอก 4% มันก็อาจจะไม่ได้เหมาะกับทุกคนซะทีเดียว  เราอาจจะปรับการดึงเงินมาใช้ของเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆอย่างอื่นเช่น

  • ระยะเวลาที่เหลือ

แผน 4% มันออกแบบมาสำหรับคนที่คาดว่าจะใช้ชีวิตเกษียณอยู่ต่อประมาณ 25-30 ปี  ดังนั้นสมมติว่าถ้าเราคาดว่าเราจะมีชีวิตอยู่นานกว่านั้นไปอีก  แปลว่าเราอาจจะต้องใช้น้อยกว่าปีละ 4%  หรือสมมติถ้าเราอายุ 75 ปีแล้ว  เราก็อาจจะไม่ต้องกังวลมากนัก  ใช้เยอะขึ้นกว่า 4% ก็ได้

  • ลงทุนในอะไรหลังเกษียณ

แผน 4% จริงๆแล้วเค้าตั้งสมมติฐานว่าคนลงทุนผสม  มีทั้งตราสารหนี้และหุ้น  ไม่ใช่ตราสารหนี้อย่างเดียว  เพราะเค้าต้องการจะเผื่อว่าเรามีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินหรืออะไรนอกเหนือจากที่ดึงไปใช้ปกติด้วย

ถ้าเราตั้งใจจะลงทุนตราสารหนี้อย่างเดียว  เราอาจจะต้องดึงออกมาใช้น้อยกว่า 4%

  1. เข้าใจไว้เสมอว่าแผนอาจจะต้องมีการปรับ โดยเฉพาะถ้าผลตอบแทนการลงทุนเปลี่ยนแปลง

อย่างสมมติถ้าคนเกษียณโชคร้ายดันไปเจอปีที่หุ้นตกรุนแรงตอนปีแรกๆที่เริ่มเกษียณพอดีแล้วไม่ได้ปรับลดการดึงเงินออกมาใช้  เงินกองทุนที่สะสมไว้มันลดไปเร็วกว่าที่คาด  แล้วเหลือเงินสะสมน้อยลงสำหรับปีที่ตลาดฟื้นตัว  ทำให้ในระยะยาวอาจจะเหลือเงินใช้น้อยกว่าแผนที่วางไว้

ดังนั้นสิ่งที่ทำได้คืออาจจะต้องมีการปรับตัวตามสถานการณ์บ้าง  เช่นปีที่ผลตอบแทนทำได้น้อยเราก็ใช้ประหยัดหน่อย  แล้วไปใช้เยอะขึ้นในปีที่ผลตอบแทนทำได้ดีแทน

สำหรับคนที่เกษียณแล้วผมไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้  ช่วยได้มากสุดประมาณนี้  อาจจะต้องไปปรึกษาที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มเติมอีกที  ยังไงขอให้โชคดีครับ

บิทคอยน์กับเงินดิจิตัลสกุลต่างๆ

Bitcoin Craze

bitcoin-craze

ช่วงนี้เริ่มจะโดนคนถามหัวข้อนี้หลายครั้งน่าจะเป็นเพราะมีคนสนใจเยอะ  ดังนั้นเพื่อความชัดเจนผมเลยมาเขียนตอบเป็นบทความเอาชัดๆ  ส่วนตัวผมคิดว่าตอนนี้บิทคอยน์และเงินดิจิตัลสกุลตั้งเองทั้งหลายเป็นฟองสบู่  และผมจะไม่ลงทุนหรือสนับสนุนให้ลูกศิษย์หรือใครก็ตามลงทุนในพวกนี้แน่นอน  ด้วยเหตุผลอะไรเดี๋ยวผมพยายามเรียบเรียงอธิบายความคิดผมให้ฟังครับ

อย่างแรกต้องมาตั้งสติกันนิดนึงก่อนว่าสรุปบิทคอยน์กับเงินดิจิตัลทั้งหลายนี่มันคืออะไรกันแน่  มันเป็นทรัพย์สินที่โดยตัวมันเองมีค่าหรือเปล่า  หรือมันเป็นทรัพย์สินที่มีค่าจากการที่คนสมมติมูลค่ามันขึ้นมา

ทรัพย์สินสำหรับผมมันจะแบ่งเป็น 2 ลักษณะใหญ่ๆตามที่มาของมูลค่า  คือ

  1. ทรัพย์สินที่ตัวมันเองมีค่า เพราะทำประโยชน์อะไรซักอย่างก่อให้เกิดรายได้

เช่น  ห้องคอนโด  นึกภาพอย่างถ้าเราเป็นเจ้าของห้องคอนโดที่สามารถปล่อยเช่าได้  ทุกเดือนมีคนใช้ห้องที่เราเป็นเจ้าของ  ผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้เราทุกเดือนเนื่องจากเราเป็นเจ้าของห้องนั้น  ดังนั้นห้องคอนโดเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง  เพราะตัวมันเองทำงานสร้างรายได้ให้เราได้

หรืออย่างหุ้น  นึกภาพหุ้น CPALL ก็ได้  มันคือใบแสดงสิทธิ์ว่าเราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทที่ทำ 7-11  เวลามีคนมาซื้อของและบริษัทมีกำไร  กำไรส่วนหนึ่งนั้นเป็นของเรา  บางส่วนของกำไรของเราก็ถูกปันผลออกมาเป็นเงินสดให้เรา  บางส่วนก็สะสมเก็บไว้ในบริษัทไปลงทุนต่อเพื่อเพิ่มกำไรมากขึ้นในปีต่อๆไป  ดังนั้นหุ้นเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าโดยตัวมันเอง  เพราะมันทำงานสร้างรายได้ให้เราได้

ทรัพย์สินกลุ่มนี้เวลาขาย  ราคาขายมันจะมาจากความสามารถในการสร้างรายได้เป็นหลัก  บวกกับความนิยมของคนเป็นปัจจัยเสริม

  1. ทรัพย์สินที่ตัวมันเองไม่มีค่า มูลค่ามาจากคนสมมติขึ้นมา

เช่น  ของสะสม, เหรียญสะสม, ภาพวาด, ฯลฯ  พวกนี้โดยตัวมันเองไม่ได้สร้างรายได้  มูลค่าขึ้นกับการที่คนให้มูลค่ามัน  จะเพราะอยากได้หรือชอบหรือเก็งกำไรก็แล้วแต่

หรืออย่างค่าเงิน  ไม่จำกัดว่าเป็นเงินดิจิตัลหรือเงินบาท, ปอนด์, ฯลฯ  พวกนี้โดยตัวมันเองก็ไม่ได้สร้างรายได้  มีไว้เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยนเฉยๆ  มูลค่ามาจากคนสมมติเช่นกัน

ทรัพย์สินกลุ่มนี้เวลาขาย  ราคาขายมันจะมาจากความนิยมของคนเป็นหลัก

ทีนี้บิทคอยน์และเงินดิจิตัลคืออะไร  ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นสกุลเงิน  เพียงแต่ว่ามีจุดเด่นบางอย่างเพราะใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการบันทึกธุรกรรมแค่นั้นเอง  เพื่อความเข้าใจง่ายเอาเป็นว่าหลักๆแล้ว  มันคือสกุลเงินที่ไม่มีการควบคุมโดยหน่วยงานรัฐ (เหมือนอย่างเงินบาทงี้ที่ควบคุมโดยธนาคารแห่งประเทศไทย), ไม่อาศัยตัวกลางอย่างธนาคาร  และยากต่อการปลอมแปลง  ยังไงในรายละเอียดต้องขอให้ไปหาอ่านที่อื่นเอาไม่งั้นมันจะอธิบายยาวมาก

จริงๆมันจะมีเหตุผลทางเทคนิคอื่นที่ทำให้ผมไม่ไว้ใจจะลงทุนในกลุ่มพวกนี้  แต่สมมติตัดเหตุผลเหล่านั้นไป  เอาสาเหตุหลักๆพอ  สิ่งที่ทำให้ผมไม่ลงทุนในพวกนี้แน่นอนเรียงตามความสำคัญคือ

  1. มูลค่าขึ้นอยู่กับการยอมรับของคน

เนื่องจากมันเป็นสกุลเงินน่ะครับ  ประเด็นหลักของสกุลเงินคือเอาไว้เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนซื้อของ

นึกภาพดูนะอย่างเช่นเงินบาท  ทำไมเงินบาทถึงมีคนอยากได้  ก็เพราะถือเงินบาทไว้สามารถเอาไปซื้อของในไทยได้ไง  อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวไทย  หรือใครอยากจะมาซื้อของไทย  ถ้ามีคนอยากได้เงินบาทเยอะๆก็จะทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น

แล้วทำไมแบงค์กาโม่ไม่มีคนอยากได้  ก็เพราะถือแบงค์กาโม่ไปซื้อของแล้วคนไม่รับใช่มั้ยครับ

ดังนั้นบิทคอยน์หรือค่าเงินอะไรก็แล้วแต่จะมีค่า  ก็ต่อเมื่อมีคนยอมรับมันเป็นสื่อการกลางการซื้อขาย

ซึ่งประเด็นนี้  ปัจจุบันบิทคอยน์เอาไปใช้ซื้ออะไรได้อยู่นะ  แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกสินค้าหรือบริการออนไลน์  ของทั่วไปในชีวิตประจำวันที่ซื้อขายด้วยบิทคอยน์ได้ก็ยังน้อยมาก  แล้วก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะมีคนยอมรับแค่ไหน

ปัจจุบันบิทคอยน์ซื้ออะไรได้บ้าง  ลองอ่านนี่ดู  https://99bitcoins.com/who-accepts-bitcoins-payment-companies-stores-take-bitcoins/

  1. มีเงินดิจิตัลใหม่โผล่มาได้อยู่ตลอด

สมมติเราบอกว่าอนาคตคนจะไม่ถือเงินสด  เงินอยู่ในรูปดิจิตัลหมด  ซึ่งแบบนั้นมันเป็นไปได้ว่าจะเกิดขึ้นแหละเพราะเทคโนโลยีมันไปในทางนั้นจริง  และการจ่ายด้วยโทรศัพท์หรือการทำธุรกรรมออนไลน์ก็มีเยอะขึ้นเรื่อยๆ  แต่แล้วทำไมต้องบิทคอยน์  ในเมื่อวันดีคืนดีก็มีคนอื่นโผล่มาทำเงินดิจิตัลอื่นเมื่อไหร่ก็ได้

บิทคอยน์ต่างกับบิทคอยน์แคชอย่างไร  ใครบอกผมได้บ้าง  หรือทำไมไม่ไปใช้เงิน Ethereum แทน  หรือทำไมไม่ไปใช้ Ripple แทน  หรือสกุลเงินอื่นๆในอนาคตที่อาจจะโผล่ขึ้นมา  ในเมื่อสุดท้ายแล้วพวกนี้มันเป็นแค่สื่อกลางในการซื้อขายนี่ครับ  มันมีความแตกต่างอะไรกันตรงไหนเหรอ

  1. เสียเปรียบเงินสกุลหลักที่รัฐบาลให้การรับรอง

ผมนึกไม่ออกว่าในฐานะเป็นสื่อกลางการซื้อขายของ  การซื้อขายด้วยบิทคอยน์สำหรับบุคคลทั่วไปแบบเรานี่มันได้เปรียบการซื้อขายด้วยเงินปกติตรงไหน  ง่ายกว่าหรือปลอดภัยกว่าหรือค่าใช้จ่ายถูกกว่ายังไง

สุดท้ายเงิบบาท, ดอลล่าร์  หรือเงินสกุลหลักอื่นๆที่รัฐบาลของประเทศให้การรับรอง  มันก็สามารถอยู่ในรูปแบบดิจิตัลได้เหมือนกัน  ทุกวันนี้เวลาเราโอนเงินซื้อของนู่นนี่เราก็ทำได้ด้วยมือถือหรือออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย  และเรื่องค่าธรรมเนียมก็ต่ำลงเรื่อยๆ  อย่างประเทศไทยทุกวันนี้มี Prompt Pay โอนต่างธนาคารต่ำกว่า 5,000 บาทก็ฟรีแล้วด้วย  แถมได้รับการรับรองโดยรัฐบาลว่าสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายด้วยนะ

มันมีเหตุผลหรือประเด็นอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ที่จะใช้บิทคอยน์หรือเงินดิจิตัลอื่น  ซึ่งเท่าที่เห็นความได้เปรียบก็มีจะแต่เรื่องว่าไม่สามารถติดตามตรวจสอบธุรกรรมได้  ทำให้ขายของผิดกฎหมายหรือหนีภาษีได้

  1. ตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่ซื้อบิทคอยน์หรือเงินดิจิตัล ซื้อเพราะการเก็งกำไร

เท่าที่เห็นทั้งในข่าวหรือที่ถามคนทั่วไป  คนให้ความสนใจกับว่าบิทคอยน์จะขึ้นต่อมั้ย  Ethereum จะราคาขึ้นด้วยมั้ยปีนี้  ปีที่แล้วราคาขึ้นมากี่ % แล้ว  ถึง $10,000 แล้ว  หรืออะไรประมาณนี้  คนไม่ได้สนใจจะถือบิทคอยน์หรือเงินดิจิตัลเพราะจะไปใช้ซื้อสินค้าอะไร  แล้วในข่าวเองก็แทบจะไม่มีใครพูดถึงว่ามีร้านค้าไหนรับชำระเงินด้วยบิทคอยน์บ้าง  มีแต่คนมาให้สัมภาษณ์ว่าราคาจะขึ้นต่อไปนะ  หรือราคาน่าจะตกนะ  วันนี้ราคาขึ้น  วันนี้ราคาลง  ฯลฯ

บรรยากาศแบบนี้มันบรรยากาศของเก็งกำไรชัดๆ  ฟองสบู่แน่นอน  คนกำลังเมากับความโลภ

ผมไม่รู้ว่ายังไง  ในอนาคตต่อไปอาจจะมีคนใช้บิทคอยน์ซื้อของอยู่หรือไม่มีก็แล้วแต่  แต่ที่แน่ๆตอนนี้นี่มันฟองสบู่นี่หว่า  ช่วงเวลาที่คนแห่ซื้ออะไรซักอย่างโดยไม่สนใจว่าซื้อมาเพื่อทำอะไรสนใจแค่กะจะขายต่อให้คนอื่นได้แพงขึ้น  ถึงจุดหนึ่งเมื่อไม่มีคนบ้ามาซื้อต่อ  ราคามันก็จะหยุดแล้วคนก็จะเริ่มตกใจแห่ขายแทน  อาการแบบนี้มันมีมาเยอะละครับ

ปิดสรุปสุดท้าย  ถึงผมจะเชื่อว่ามันเป็นฟองสบู่นะ  แต่มันไม่ได้แปลว่าราคามันจะขึ้นไปอีกไม่ได้  ราคาเงินดิจิตัลพวกนี้ปีนี้มันอาจจะขึ้นพรวดไปอีก  ถ้าเราไปซื้อก็อาจจะกำไรก็ได้  แค่ผมขอให้เราตระหนักว่ากำลังเก็งกำไรอยู่และมีโอกาสเละละกัน  เพราะเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็ววันหนึ่งคนจะหายบ้า  และทรัพย์สินเก็งกำไรที่ตัวมันเองไม่มีมูลค่าแบบนี้ราคามันจะหล่นโครมลงมาเมื่อคนเปลี่ยนความคิด

ใครจะเข้าไปเก็งกำไรก็เชิญเลยครับ  น่าจะตื่นเต้นได้ลุ้นดีนะ  ส่วนตัวผมไม่ลงทุนในพวกนี้แน่นอน  ผมไม่นิยมลงทุนในอะไรที่ผมไม่มั่นใจอย่างน้อย 80% ว่าจะกำไร  แทนที่จะไปวัดดวงนั่งลุ้นกับพวกนี้  สู้ผมฉวยโอกาสซื้อหุ้นกิจการดีแล้วราคาตกรุนแรงเพราะคนตกใจ  เอากำไรง่ายๆสบายๆไม่ดีกว่าเหรอ

หุ้นที่ผมสนใจ – CGN Power

Stock in my focus – CGN Power

 

As of January 6, 2018                   ราคาหุ้นอยู่ 2.14 HKD

ดูเหมือนการหาหุ้นดีราคาถูกยังเป็นไปได้อยู่  คราวนี้ผมพูดถึง CGN Power ครับ  เป็นหุ้นโรงไฟฟ้าในจีนที่ผลประกอบการทำได้ไม่เลวแต่ราคาถูกอย่างไม่น่าเชื่อ

cgn-logo cgn-nuclear-power-plantcgn-nuclear-power-plant-structure

ลักษณะธุรกิจ

บริษัทนี้ทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นหลัก  ธุรกิจมีรายได้ 80% มาจากการผลิตและขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์  กำไรหลักของบริษัทก็มาจากธุรกิจขายไฟฟ้า  ลูกค้าก็แน่นอนคือรัฐบาลจีน  ซึ่งจริงๆผู้ถือหุ้นหลักของบริษัทนี้ก็เป็นรัฐบาลจีนนั่นแหละ  อดีตเป็นหน่วยงานของรัฐบาลมาก่อน

มีธุรกิจอื่นเสริมเช่นรับงานวิศวกรรมก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และงานบริการด้านเทคนิคให้กับคนอื่น  แต่ธุรกิจนี้รายได้คิดเป็นประมาณ 20% เท่านั้น  และคิดเป็นสัดส่วนกำไรก่อนภาษีไม่ถึง 2% ของบริษัท  ดังนั้นธุรกิจส่วนนี้จึงไม่เป็นสาระสำคัญ  มองข้ามไปได้เลย

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

CGN Power เพิ่งขายหุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกงเมื่อปี 2014 เท่านั้น  ข้อมูลย้อนหลังก็เลยมีไปไม่ไกลเท่าไหร่  แต่ถ้าเอาตามข้อมูลที่มีบริษัทนี้ก็ทำได้ดีทีเดียว

ที่บริษัทนี้ทำได้ดีเพราะว่า  ส่วนหนึ่งมันเป็นธรรมชาติของธุรกิจโรงไฟฟ้าอยู่แล้วที่รายได้จะค่อนข้างสม่ำเสมอเนื่องจากโรงไฟฟ้าเดิมที่สร้างไปแล้วจ่ายไฟต่อเนื่องให้ภาครัฐ  ทำให้บริษัทมีกำไรอยู่ตลอด  ปัจจุบันส่วนแบ่งการตลาดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ของบริษัทนี้อยู่ที่ 60% ของไฟฟ้าที่มาจากนิวเคลียร์ในประเทศจีนทั้งหมด

ความได้เปรียบหลักคาดว่าน่าจะเป็นเพราะ CGN Power เป็นรัฐวิสาหกิจ  จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นพิเศษด้วย  ปัจจุบันบริษัทมีแผนกำลังสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งใหม่หรือเพิ่มเตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้าเดิมอย่างต่อเนื่อง  โดยส่วนแบ่งการตลาดของแผนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ที่รัฐบาลอนุมัติแล้วของบริษัทนี้อยู่ที่ประมาณ 56% ของแผนการผลิตไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ทั้งหมดในประเทศจีน  ซึ่งแปลว่าบริษัทนี้ก็จะยังคงบริษัทที่ทำโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในจีนเจ้าหลักต่อไป  มีโอกาสกำไรเติบโตอีกในอนาคตค่อนข้างแน่นอน  ตราบใดที่เศรษฐกิจประเทศจีนยังเติบโตอยู่และมีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงขึ้นเรื่อยๆ

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

หลักๆเลยคือหุ้นมันถูก  บริษัทที่ผ่านมาค่อยๆกำไรดีขึ้นแต่ราคาหุ้นอยู่ที่เดิม

และที่สำคัญคือ  โดยแนวโน้มแล้วบริษัทควรจะทำได้ดีขึ้นต่อเนื่องและมีกำไรสูงขึ้นได้ต่อไปอีกในอนาคต  ด้วยเหตุผลหลักๆดังต่อไปนี้

  1. ลูกค้าคือภาครัฐ ธุรกิจที่ได้สัมปทานแบบนี้กำไรสม่ำเสมอ
  2. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ถือเป็นพลังงานสะอาดประเภทหนึ่ง ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนหรือเขม่าการเผาไหม้สู่ชั้นบรรยากาศเหมือนโรงไฟฟ้าถ่านหินหรือเชื้อเพลิงอื่น  ซึ่งเรื่องมลพิษทางอากาศเป็นเรื่องที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญมากในเวลานี้
  3. ในหมู่พลังงานสะอาด ปัจจุบันต้นทุนการผลิตไฟฟ้าต่อหน่วยของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะถูกกว่าพลังงานสะอาดประเภทอื่นอย่างลมหรือแสงอาทิตย์อยู่มาก
  4. ปัจจุบันบริษัท CGN Power มีโครงการที่กำลังก่อสร้างเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าอีก 80% ของที่ดำเนินการแล้วในตอนนี้ ดังนั้นสมมติว่าอัตราส่วนกำไรสุทธิใกล้เคียงเดิม  ถ้ารายได้โต 80%  กำไรของบริษัทก็น่าจะโตพอๆกัน  แปลว่ากำไรโตได้อีกเยอะมาก
  5. การใช้ไฟฟ้าในจีนในระยะยาว 10 ปีข้างหน้า เชื่อว่าก็จะมีความต้องการใช้ไฟฟ้ามากขึ้นกว่าวันนี้  ดังนั้นแผนในการขยายก็ไม่น่าจะล่ม

เรื่องที่ต้องระวังคือ  เนื่องจากการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใช้ต้นทุนสูงมาก  บริษัทนี้เลยมีสัดส่วนหนี้สินใหญ่มาก  ถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงเช่นเตาปฏิกรณ์ระเบิดหรืออย่างอื่น  ก็อาจจะทำให้เละได้เหมือนกัน  เราต้องจำใส่ใจไว้ว่ามีความเสี่ยงตรงนี้

แต่ถ้านอกเหนือจากเรื่องหนี้สินที่ใหญ่แล้ว  บริษัทนี้แค่ด้วยผลประกอบการปัจจุบันต่อให้ทำได้เท่าเดิมไปเรื่อยไม่ขยายก็ค่อนข้างราคาถูกอยู่แล้ว  และยังมีโอกาสที่กำไรจะสูงขึ้นเรื่อยๆ  มันก็เลยเป็นหุ้นที่ผมสนใจมากเป็นพิเศษครับ

หุ้นที่ผมสนใจ – Dignity

Stock in my focus – Dignity

As of December 2, 2017              ราคาหุ้นอยู่ 1,624p       (100p = 1 GBP)

บริษัทนี้เชื่อว่าน้อยคนมากจะรู้จัก  เป็นบริษัทในอังกฤษที่ผมก็เพิ่งเคยอ่านเจอช่วงปีนี้เอง  ที่ผ่านมาไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะไม่คิดว่าราคามันจะตกจนมีโอกาสได้ซื้อ  แต่ผิดคาดเพราะช่วงไม่กี่เดือนมานี้ราคาตกลง 30% ได้ละ  วันนี้เลยมาเล่าให้ฟังเพราะกำลังตื่นเต้นครับ

 

dignity-logofuneral-services

ลักษณะธุรกิจ

บริษัทนี้ทำธุรกิจให้บริการเกี่ยวกับงานศพ  แบ่งธุรกิจเป็น 3 กลุ่มหลักๆคือ

บริการจัดงานศพ  และของต่างๆที่ใช้ประกอบในงานศพอย่างเช่นพวงหรีด  มีสถานที่จัดงานศพกระจายอยู่หลายที่ในอังกฤษ  ปัจจุบันเกิน 800 จุด  ธุรกิจกลุ่มนี้เป็นตัวหลักของบริษัท  นับเป็นประมาณ 69% ของรายได้ทั้งหมด

บริการเผาศพ  และรวมถึงบริการเช่าหลุมฝังศพที่สุสาน  รายได้จากกลุ่มธุรกิจนี้คิดเป็นประมาณ 22% ของรายได้ทั้งหมด

ขายแผนจัดงานศพล่วงหน้า  อันนี้ก็คือเป็นสัญญาที่ขายให้กับคนที่มีชีวิตอยู่ว่าถ้าเค้าเสียชีวิตบริษัทจะมาเป็นผู้จัดงานศพให้  ส่วนใหญ่ลูกค้าคือผู้สูงอายุที่ไม่ต้องการให้เป็นภาระของลูกหลาน  รายได้กลุ่มธุรกิจนี้คิดเป็นประมาณ 9% ของรายได้ทั้งหมด

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

10 ปีที่ผ่านมาทำได้ดีขึ้นมาตลอดไม่ค่อยมีการแกว่งรุนแรง  วิกฤติช่วงปี 2008 ไม่มีผลอะไรกับธุรกิจเค้าเลย  (ยกเว้นปี 2014 ปีเดียวที่บริษัทมีรายการพิเศษเลยดูเหมือนขาดทุน  แต่ไปอ่านรายงานในรายละเอียดจะทราบว่าธุรกิจทำได้ดีเป็นปกติ)

โดยรวมแล้วการเติบโตมาจากจำนวนคนตายในอังกฤษเยอะขึ้น  กับการขยายสาขาและสถานที่เผาศพ  ทั้งด้วยการซื้อกิจการบริษัทจัดงานศพเล็กๆในท้องถิ่นหรือขยายด้วยตัวเอง

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

ล่าสุดผลประกอบการปีนี้ก็ออกมาดีกว่าปีที่แล้วขึ้นไปอีก  มาจากจำนวนคนตายที่เพิ่มขึ้น  แต่ผู้บริหารก็บอกว่าเห็นแนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจจัดงานศพแข่งกันรุนแรงมากขึ้น  และมีแนวโน้มคู่แข่งใหม่ๆมาทางออนไลน์ด้วย  อย่างปี 2016 ส่วนแบ่งการตลาดจัดงานศพอยู่ที่ 11.8% ตกลงมาเมื่อเทียบกับปี 2015 ที่ส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 12.3%

ด้วยความตกใจเรื่องการแข่งขัน  ราคาหุ้นเลยตกพรวดพราดในช่วงที่ผ่านมา  ตกลงไปจากที่ราคาเคยอยู่แถว 2,400p ลงมาแถว 1,600p  คร่าวๆก็คือตกมาประมาณ 1 ใน 3 หรือประมาณ 33.33% ได้

สิ่งที่ทำให้ผมสนใจมากเลยคือ

  1. ธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มีความต้องการอยู่ตลอด ไม่เกี่ยวอะไรกับสภาพเศรษฐกิจ
  2. ที่ผ่านมาบริษัทนี้ทำได้ดีมาก โดยเฉลี่ยบริษัทบอกว่า 70% ของลูกค้า  มาจากการที่ลูกค้าเก่าบอกต่อ
  3. ส่วนแบ่งการตลาดหลายปีที่ผ่านมา ถึงจะมีขึ้นลงบ้างมันปกติ  แต่โดยรวมขยับตัวขึ้นช้าๆ
  4. ความกังวลเรื่องการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้นทำให้คนตกใจเกินเหตุ เพราะ
    • ยังไงการจัดงานศพก็เกี่ยวกับพื้นที่ คนเมือง A คงไม่วิ่งไปจัดงานศพที่เมือง B แน่นอน  บริษัทที่มีเครือข่ายกว้างยังไงก็ได้เปรียบ
    • ที่ผ่านมามันก็แข่งขันอยู่แล้ว บริษัทเค้าก็ไม่ใช่ว่าเป็นเจ้าเดียวในประเทศตั้งแต่แรกละ
    • ถ้าอนาคตการทำการตลาดทางออนไลน์มากขึ้น บริษัทที่ใหญ่กว่าก็ได้เปรียบอยุ่ดีเพราะมีทุนโฆษณามากกว่า

โดยรวมผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมคนต้องตกใจขนาดหุ้นตกรุนแรงขนาดนั้น  ราคามันอาจจะตกลงไปอีกก็ได้ด้วยความบ้าของคน  แต่ผมว่าที่ราคา 1,600p กับบริษัทที่กำไรขนาดนี้ทำได้ดีขนาดนี้ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากละครับ  เชื่อว่าซักพักนึงถ้าบริษัทยังทำได้ดีเหมือนเดิมคนก็จะเริ่มได้สติกลับมาครับ

เสริมสร้างฐานะทางการเงิน 10 – ลงรายละเอียดเรื่องแผนการเกษียณ

Improve your financial life 10 – Evaluate the Viability of Your Retirement Plan

this-is-our-retirement-plan

เรื่องการเกษียณนี่ผมว่าเป็นเป้าหมายทางการเงินตัวสำคัญใหญ่สุดละครับ  เป้าหมายอันอื่นพลาดได้ยังแก้ไขทัน  แต่ถ้าเรื่องเกษียณถึงเวลารู้ตัวว่าพลาดก็ไม่ทันละครับชีวิตลำบากแน่นอน  หัวข้อนี้เรามีพูดถึงคร่าวๆไปตั้งแต่หัวข้อปรับจูนแผนการออมไปละ แต่วันนี้เดี๋ยวเรามาพูดถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการวางแผนการเกษียณเพิ่มเติมกัน

         “ฉันจะเกษียณได้ตามเป้ามั้ย”

อันนี้เป็นคำถามสำคัญที่สุดอันหนึ่งเลยแหละ  แต่มันเป็นอะไรที่ตอบยาก  เพราะสถานการณ์แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ตั้งแต่ขั้นตอนการออมไปจนถึงวัยเกษียณ, การใช้เงินหลังเกษียณ,  มันเป็นอะไรที่แล้วแต่คน  แล้วยังมีผลตอบแทนการลงทุนของสินทรัพย์ต่างๆทั้งช่วงระหว่างออมไปจนถึงช่วงที่เกษียณ  หรือคำถามว่าเราจะมีชีวิตอยู่กี่ปีหลังเกษียณ  เป็นอะไรที่เราไม่มีทางรู้ชัดเจนได้เลย

สิ่งที่เราทำได้คือการประมาณคร่าวๆเอาจากเงินออมปัจจุบัน, เงินที่จะออมเพิ่มในอนาคต  และคาดการณ์การใช้จ่ายหลังเกษียณ   ผมจะแนะนำการใช้เครื่องมือต่างๆ  แล้วเดี๋ยวเราไปใส่ตัวแปรตามสถานการณ์แต่ละคนเอา

สำหรับคนที่ยังไม่เกษียณ  และกำลังเตรียมเกษียณ

  1. รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

รวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับการเกษียณก่อน  หลักๆเลยก็ต้องมี

  • เงินออมปัจจุบันที่เราจัดสรรไว้สำหรับเตรียมเกษียณมีอยู่แล้วเท่าไหร่ ?
  • เงินออมที่ตั้งใจจะจัดสรรไว้สำหรับเตรียมเกษียณเพิ่มเติมต่อปี ปีละเท่าไหร่ ?
  • คาดการณ์จะเกษียณเมื่อไหร่ ?
  • ตอนเกษียณมีรายได้มาจากทางอื่นอีกมั้ย มีเท่าไหร่ ?
  1. ดูว่าปัจจุบันเราจัดสรรการลงทุนสำหรับเกษียณไว้อย่างไร

ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญที่เราไว้ใช้ประมาณการณ์ว่าผลตอบแทนการลงทุนจะเป็นกี่ % ต่อปี  พยายามแยกให้ได้ว่ามีสินทรัพย์ใกล้เคียงเงินสด, ตราสารหนี้, หุ้น, อสังหาริมทรัพย์  เป็นสัดส่วนเท่าไหร่  เอาเฉพาะเงินทุนส่วนที่กันไว้สำหรับการเกษียณนะ  ส่วนที่กันเอาไว้ทำอย่างอื่นไม่เกี่ยว

ประมาณผลตอบแทนการลงทุนของหุ้นกับตราสารหนี้  เราอาศัยผลตอบแทนของกองทุนรวมประเภทนั้นๆกะเอาก็ง่ายดี  โดยโหลดเอาจากเวปของ AIMC ก็ได้  เลือกใช้กองทุนที่ทำได้กลางๆผลตอบแทนระดับเปอร์เซนต์ไทล์ที่ 50th เป็นเกณฑ์   http://oldweb.aimc.or.th/21_infostats_mf_report.php

ส่วนผลตอบแทนของสินทรัพย์อย่างอสังหาริมทรัพย์  อ้างอิงจากมูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทยเอาละกันครับ  https://drive.google.com/open?id=19dOOzBHWP-gpO9rglDHRmVDoFL8WtJaw

สมมติว่าการลงทุนของเราเป็นผสมตราสารหนี้ 70% หุ้น 30%  ผลตอบแทนคาดหวังคือ

(70% × 2.51%)+(30% × 9.38%)   =   4.57%

2.51% เอามาจากเฉลี่ยผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังของกองทุนประเภท Mid Term General Bond

9.38% เอามาจากเฉลี่ยผลตอบแทน 10 ปีย้อนหลังของกองทุนประเภท Equity General

  1. ใส่ข้อมูลลงไปในเครื่องมือคำนวณ

ก็มีแนะนำถ้าเป็นออนไลน์  ใช้ของ Vanguard ก็ใช้ง่ายดี  ของเค้าจะมีกราฟแท่งสองอันเปรียบเทียบให้ดูว่า   แล้วเราใส่ข้อมูลของเราลงไป  สามารถปรับจูนเอาเองได้ด้วยhttps://retirementplans.vanguard.com/VGApp/pe/pubeducation/calculators/RetirementIncomeCalc.jsf

หรือลองใช้ของผมดูด้วยก็ได้  แต่มันจะเป็นไฟล์ excel ทำเอง  ดูยุ่งนิดนึงแต่ก็ไม่มีอะไรยาก  แค่ใส่เป้าหมายที่ต้องการเมื่อเกษียณ, ข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลการออม  ที่เพิ่มเติมคือมีคิดกองทุนสำรองเลี้ยงชีพรวมข้าไปให้ด้วย  เวลาใช้ก็คือใส่ข้อมูลในช่องสีเขียวให้ครบเท่านั้นเอง  https://drive.google.com/open?id=1TP7t5aJmyoEr15vuB676_dIjMLdXl_AK

พวกเครื่องมือพวกนี้ต้องเข้าใจว่ามันมีความแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด  ดังนั้นถ้าให้ดีก็ลองทำทั้งสองอันแหละ

  1. ปรับแผนให้เหมาะสมกับเรา

เวลาใช้พวกเครื่องมือคำนวณ  การลองปรับตัวแปรต่างๆจะทำให้เราเห็นภาพว่าผลกระทบของตัวแปรต่างๆมีผลต่อเป้าหมายการออมเราขนาดไหน  ทีนี้สมมติเราพบว่าด้วยสถานการณ์ปัจจุบันของเราจะออมได้ไม่ถึงเป้าหมายเกษียณที่เราตั้งไว้  เราอาจจะลองหาวิธีปรับดูว่าเราต้องทำอย่างไรเราถึงจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้

ตัวแปรสำคัญที่เราจะสามารถปรับได้  และมีผลมากต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของเป้าหมายเกษียณ  มีดังต่อไปนี้

  • จำนวนเงินที่จะใช้ต่อเดือน / ปีเมื่อเกษียณอายุ

ตัวเลขนี้ยิ่งสูง  การออมให้ถึงเป้าหมายก็ยิ่งทำได้ยากขึ้น  ลองพิจารณาดูจริงๆจังๆว่าตัวเลขนี้สำหรับตัวเราแล้วจะต้องมีอย่างน้อยสุดเท่าไหร่กันแน่  หาต่ำที่สุดให้เจอก่อน  บางคนอาจจะตั้งสูงเกินไปด้วยความเคยชินกับไลฟ์สไตล์ช่วงที่ยังมีรายได้จากงาน  การตั้งเป้าหมายไม่ได้แปลว่าเราต้องใช้ชีวิตแบบอนาถา  เราอาจจะตั้งตัวเลขที่สูงกว่าตัวเลขขั้นต่ำที่สุดก็ได้  แต่ลองปรับน้อยลงดูนะ  จะเห็นว่าแผนการออมจะง่ายขึ้นเยอะเลย

  • อายุเกษียณ

การทำงานแล้วเกษียณตอนอายุมากขึ้นมีประโยชน์ 3 อย่าง  หนึ่งเลยคือคนที่ทำงานเกษียณช้ากว่ามีเวลาสะสมทรัพย์สินเยอะกว่า  สองคือมีเวลาให้ทรัพย์สินที่ออมไว้สำหรับเกษียณมีเวลาโตทบต้นนานขึ้น  และสามเลยคือเหลือจำนวนปีที่เราจะดึงเงินเกษียณมาใช้น้อยลง  ทั้งสามอย่างนี้มีผลเยอะมากต่อแผนเกษียณของเรา

  • คาดการณ์อายุขัย

เรากะอายุตัวเองน้อยไปหรือมากไปหรือเปล่า  บางคนอาจจะไม่รู้ว่าถ้าสมมติเราอายุถึงวัยเกษียณ 60 ปี  หลังจากนั้นเราน่าจะมีชีวิตอยู่อีกกี่ปี  แน่นอนไม่มีใครรู้หรอกแต่ใช้ค่าเฉลี่ยประเทศไทยเอาก็ได้ครับ  ผมก็ไม่ทราบว่าตัวเลขของที่ไหนเชื่อถือได้มากสุดนะ  แต่ลองใช้ของสถาบันวิจัยประชากรและสังคม  มหาวิทยาลัยมหิดลเอาละกัน  http://www.ipsr.mahidol.ac.th/ipsr/Contents/Documents/Gazette/Population_Gazette2017-TH.pdf

  • ผลตอบแทนคาดหวัง

เราจะปรับผลตอบแทนคาดหวังได้ก็คือมาจากเราปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่เราลงทุนเป็นหลัก  เราเป็นคนกลัวความเสี่ยงจนเกินไปหรือเปล่า  เป็นไปได้มั้ยว่าเราจะปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นหรือกองทุนหุ้นมากขึ้น  ศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นดีกว่าครับ  อย่ากลัวไปก่อนหรือไปเข้าใจผิดว่าหุ้นเป็นทรัพย์สินที่มีความเสี่ยงสูงมากเพราะจริงๆแล้วมันแค่เป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนมากเฉยๆ  ถ้าเรามีเวลาหลายปี  ในระยะยาวแล้วผลตอบแทนของหุ้นโดยเฉลี่ยก็จะเท่ากับอัตราการเติบโตของบริษัทนั้นๆน่ะแหละ  ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งคือลงทุนในหุ้นหลายบริษัทในไทย  ผลตอบแทนเราก็จะพอๆกับการเติบโตของธุรกิจในไทยน่ะครับ

ในความเห็นส่วนตัวผม  ถ้าเรามีเวลาเกิน 20 ปีกว่าเราจะเกษียณ  ลงทุนกองทุนหุ้น 80%-100% ไปเลยก็ได้นะ  แล้วเวลาใกล้เกษียณค่อยปรับสัดส่วนหุ้นน้อยลงก็ได้  ผลตอบแทนที่คาดหวังของเราจะดีขึ้นเยอะเลย  เพิ่มโอกาสที่เราจะเกษียณได้ตามแผนมากขึ้นครับ

  • อัตราการออม

อันนี้แหละที่เป็นตัวส่งผลเยอะที่สุดเลย  โดยเฉพาะถ้าเริ่มต้นออมได้ตอนอายุยังน้อย  ผลของดอกเบี้ยทบต้นจากเงินออมที่สูงขึ้นจะมีเยอะมาก  ลองปรับแผนดูว่าสามารถออมเพิ่มขึ้นเดี๋ยวนี้เลยได้มั้ย  ถ้าเป็นไปได้อย่าวางแผนลักษณะว่าจะไปออมเยอะขึ้นตอนปีท้ายๆใกล้เกษียณ  เพราะทำแบบนั้นเวลาให้เงินงอกเงยมันน้อย  เป็นไปได้กระจายเกลี่ยให้เท่าๆกันตลอดดีกว่า  หรือถ้ายิ่งดีให้เทมาออมเยอะๆตอนอายุน้อยจะดีมาก

ยังไงไปลองทำกันดูครับ