หัดคิดสองชั้น

Second-level Thinking

second-level-thinkingผมหวังว่าที่เรามาอ่านบทความในเพจนี้  เป็นเพราะเราต้องการลงทุนให้ได้ผลลัพธ์ดีกว่าค่าเฉลี่ย  และผมอยากจะสื่อสารเรื่องในวันนี้สำหรับนักลงทุนที่ตั้งใจจะประสบความสำเร็จ  ว่าการจะทำให้ได้ดีกว่าคนอื่น  เราต้องมีอันใดอันหนึ่งในสองอย่างนี้คือ  โชคดีกว่าคนอื่น  หรือไม่ก็การมองที่ขาดกว่าคนอื่น

ทุกคนอยากทำกำไรเยอะๆหมดแหละ  และดังนั้นการที่จะมองขาดกว่าคนอื่นก็เลยเป็นเรื่องยาก  เพราะเรากำลังแข่งกับนักลงทุนคนอื่นที่เค้าก็มีเป้าหมายเดียวกับเราเยอะไปหมด

ผมพบว่าทุกคนสามารถไปลงคอร์สบัญชีหรือการเงิน  อ่านหนังสือเยอะๆ  หรือไม่ก็ไปเข้าสัมมนาลงทุนได้เหมือนกันหมด  แต่จะมีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สุดท้ายจะมีเซ้นส์ในการลงทุน  ตัดสินใจได้ขาดกว่าคนอื่น  และมีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม  เพราะการจะทำแบบนั้นได้  เราจะต้องหัดคิดสองชั้น

อะไรคือการคิดสองชั้น  เช่น

อ่านต่อ »

ว่าด้วยเรื่องของพวกปัจจัยมหภาคทั้งหลาย

The Macro Factors

พักนี้ผมสังเกตว่าจะโดนถามบ่อยเรื่องผลกระทบของปัจจัยมหภาคต่างๆ  เช่น
“ทรัพป์เข้ามาแล้วแนวโน้มมองว่าตลาดดีขึ้นหรือเปล่า”
“มองว่าบาทจะอ่อนมั้ย  หุ้นกลุ่มไหนได้ประโยชน์บ้าง การท่องเที่ยว โรงแรมและส่งออก  อันไหนน่าสนกว่ากัน”
“ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศขึ้นดอกเบี้ยมั้ย”
วันนี้ผมมีคำแนะนำสำหรับคนที่มีคำถามลักษณะนี้ครับ

อ่านต่อ »

ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ

Expert’s Opinion

experts-opinion

 

วันนี้ผมเขียนตั้งข้อสังเกตกัน  โจทย์วันนี้คือ  ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่บางทีเราเห็นพูดทางทีวี  ออกบทวิเคราะห์ตามสื่อต่างๆ  เชื่อถือได้แค่ไหน

มาดูตัวอย่างเร็วๆนี้กัน  ปีที่แล้ว 2016 มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา  ก่อนผลจะออกชัดเจนถามว่ามีใครรู้บ้างว่าโดนัลด์ ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้ง  ผลสำรวจความเห็นโพล์สำนักต่างๆ, นักวิเคราะห์การเมือง, นักข่าว, ฯลฯ  มีแต่ออกมาบอกว่าฮิลลารี่จะชนะ  ขนาดพวก exit poll ที่ไปไล่ถามคนตามคูหาเลือกตั้งยังผิด  ยิ่งถ้าย้อนกลับไปอ่านไกลกว่านั้นจะพบว่า  มันมีคนวิเคราะห์ว่าทรัมป์จะแพ้ไปตั้งแต่รอบที่จะเลือกใครเป็นตัวแทนพรรครีพับลิกันแล้ว  ผลคือการคาดการณ์พวกนี้ผิดกันหมด

แล้วที่ฮาคือ  ตอนแรกความเห็นผู้เชี่ยวชาญบอกว่า  ถ้าทรัมป์ชนะ  มันจะไม่ดีกับตลาดหุ้น  หุ้นน่าจะตก  แต่พอถึงเวลาทรัมป์ชนะการเลือกตั้งขึ้นมาจริง  ปรากฎว่าหุ้นขึ้นใหญ่เลย

อีกตัวอย่างนึง Brexit  ที่พวกผลโพลล์และความเห็นสำนักต่างบอกว่า 70% คนอังกฤษจะโหวตให้อยู่ในสหภาพยุโรปต่อ  แต่สุดท้ายผลโหวตคือฝั่งที่โหวตออกดันชนะ

เท่าที่ผมเห็นคือ  เวลาใครพูดถึงอนาคตมันไม่มีคำว่าชัวร์  เราจะยึดคำพูดใครเป็นข้อเท็จจริงไม่ได้  มันมีแค่ข้อคิดเห็นเท่านั้น

ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือนักวิเคราะห์ทั้งหลาย  ถึงแม้ว่าจะน่าเชื่อถือหรือฟังดูมีน้ำหนักแค่ไหน  ต้องตระหนักไว้และอย่าลืมว่ามันก็ยังเป็นแค่ข้อคิดเห็นเท่านั้น  และเผลอๆโอกาสที่เค้าจะเดาถูกก็พอกันกับเรานี่แหละ

ดังนั้น  โดยสรุปแล้วผมว่าเรารับฟังความคิดเห็นนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นเรื่องดีเพราะเราอาจจะได้มุมมองใหม่ๆ  แต่ต้องตั้งสติดีๆและอย่าไปคิดว่ามันต้องถูกหรือเชื่ออะไรง่ายจนเกินไป  ต้องตั้งคำถามในสิ่งที่เค้าพูดด้วย

“เราควรจะเอาเงินไปลงทุนหรือจ่ายหนี้ก่อนดี”

Should I Invest or Pay Down Debt

คำตอบเรื่องตรงนี้เป็นความเห็นส่วนตัวผม  และที่สำคัญผมไม่ได้เป็นผู้เชียวชาญเรื่องหนี้  หรือเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน  ที่ตอบไว้คือเพราะมีคนถามเฉยๆครับ

คำถาม   ถ้าแต่ละเดือนมีเงินเหลือเก็บ  เราควรเอาเงินมาลงทุน  หรือว่าจะจ่ายหนี้ก่อนดี

ในความเห็นผมก็ว่าจ่ายหนี้ก่อนครับ  โดยเฉพาะถ้าหนี้ที่เรามีดอกเบี้ยสูงกว่า 10% ขึ้นไปอย่างสินเชื่อบุคคล  ผมว่าต้องรีบจ่ายเงินต้นให้หมดให้ได้  เพราะแนวโน้มแล้วผลตอบแทนจากการลงทุนจะไม่คุ้มกับค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยหนี้พวกนี้  ดังนั้นกำจัดหนี้ที่เป็นตัวถ่วงแบบนี้ออกไปก่อน  ถ้าเงินเหลือจากการจ่ายดอกเบี้ยขั้นต่ำแนะนำให้รีบไปจ่ายเงินต้นคืนอย่างเร็ว

 

คำถาม   แล้วถ้าหนี้สินที่มีเป็นพวกดอกเบี้ยต่ำกว่า 10% ล่ะ  ควรลงทุนหรือจ่ายหนี้ก่อนดี

อันนี้ถ้าตอบแบบเหตุผลล้วน  สถานการณ์แบบนี้ลงทุนในหุ้นก็น่าจะเป็นไปได้ละ  แต่ลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ก็ไม่เวิร์คอยู่ดี  เพราะผลตอบแทนไม่คุ้มอัตราดอกเบี้ย  อย่างดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านหรือรถยนต์  ผมเข้าใจว่าอย่างถูกที่สุดก็น่าจะ 7% กรณีส่วนใหญ่น่าจะเกินนั้น  แต่สมมติพูดถึงลงทุนในหุ้น  โดยรวมสิบปีที่ผ่านเฉลี่ยแล้วกองทุนดัชนีหุ้นให้ผลตอบแทน 8.xx%  ดังนั้นคนที่เอาเงินมาลงทุนก็จะดีกว่าเอาเงินไปจ่ายหนี้

แต่ถ้าในความเห็นผม  ผมก็ว่าจ่ายหนี้ก่อนนะ  โดยรวมสิบปีที่ผ่านเฉลี่ยแล้วกองทุนดัชนีหุ้นให้ผลตอบแทน 8.xx%ก็จริง  แต่นั่นมันคือค่าเฉลี่ยระยะยาว  ในช่วงสั้นๆไม่กี่ปีตลาดผันผวนได้เยอะมาก  ดังนั้นไม่มีอะไรการันตีว่าเราจะลงทุนในหุ้นแล้วจะต้องกำไรทุกปี  ยิ่งถ้าเราจะเลือกหุ้นเอง  ผลก็อาจจะดีกว่าหรือแย่กว่าค่าเฉลี่ยไปอีก  ไม่มีอะไรแน่นอน  แต่หนี้เรานี่ชัวร์มากว่ายังไงก็ต้องจ่าย

ปล.  บางทีถ้าจ่ายหนี้ก่อนกำหนดมันจะมีค่าปรับด้วยนะ  ลองคำนวณดูดีๆว่าคุ้มมั้ย

สรุปคือ  มันแล้วแต่ว่าหนี้เราดอกเบี้ยเป็นกี่ %  ถ้าดอกเบี้ยมันต่ำมากจะเอาเงินไปลงทุนก่อนก็เป็นไปได้อยู่  แต่ในความเห็นส่วนตัวผมว่าจ่ายเงินต้นหนี้ให้เรียบร้อยก่อนเถอะถ้าเป็นไปได้  ผมเป็นพวกไม่นิยมความเสี่ยงน่ะครับ

ภาษาหุ้นวันนี้ 9: ADR กับ GDR

Financial Terms 9: ADR and GDR

หัวข้อวันนี้สำหรับคนที่เริ่มลงทุนในต่างประเทศไปแล้วซักพักนึง  สองคำนี้บางทีเราจะเห็นต่อท้ายหุ้นบางตัว  มักเจอในตลาดอเมริกา, อังกฤษ  และเยอรมัน  มันแปลว่าอะไรกันแน่และต่างจากหุ้นปกติหรือเปล่า  วันนี้เราอธิบายเรื่องนี้กันครับ

ADR = American Depository Receipt

GDR = Global Depository Receipt

หลักการคือ  มีสถาบันการเงินที่ไปซื้อหุ้นต่างประเทศมาถือเก็บไว้ในบัญชีตัวเอง  แล้วก็ทำการออกใบแสดงสิทธิที่อ้างอิงหุ้นต่างประเทศนั้นมาขายในตลาดหุ้นในประเทศ

ADR หรือ GDR ก็คือไอตัวใบแสดงสิทธินี่แหละ  ต่างกันแค่ ADR คือใบแสดงสิทธิที่มาขายในอเมริกา  ซื้อขายบนกระดานตลาดหุ้น NYSE (New York Stock Exchange)  ส่วน GDR คือขายอยู่ในตลาดหุ้นอื่นๆเช่น

ดังนั้นถ้าเราเห็นคำว่า ADR หรือ GDR หลังชื่อบริษัท  หมายความว่าตัวนั้นมันไม่ใช่หุ้นจริงๆ  มันเป็น Depository Receipt (ใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหลักทรัพย์อ้างอิง)  ซึ่งในทางปฏิบัติก็คือเหมือนกับการถือหุ้นจริงน่ะแหละ  เพียงแต่เราไม่ได้ถือหุ้นตรงๆเป็นการถือผ่านสถาบันการเงินที่ออกใบแสดงสิทธินี่แทน

การซื้อขาย ADR กับ GDR ก็เหมือนการซื้อขายหุ้นปกติเนี่ยแหละ  เพียงแต่ราคาซื้อขายจะตามสกุลเงินของตลาดที่ ADR กับ GDR ซื้อขาย  ไม่ใช่สกุลเงินดั้งเดิมที่ตัวหุ้นนี่จดทะเบียนอยู่

วัตถุประสงค์ของการมีใบแสดงสิทธิ  คือทำให้การลงทุนในหุ้นต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้นและราคาถูกลงสำหรับนักลงทุนรายย่อย  เพราะถ้านักลงทุนรายย่อยไปซื้อเอาอาจมีค่าธรรมเนียมนู่นนี่แพง

ตัวอย่างความมีประโยชน์จากประสบการณ์จริง  เช่น  ผมสนใจบริษัท Magnit PJSC  เป็นกลุ่มร้านสะดวกซื้อเจ้าใหญ่ในรัสเซีย  ขายหุ้นในตลาดรัสเซีย  ซึ่งอย่างพอร์ตหุ้นต่างประเทศของ SCBS ที่ผมเปิดอยู่จะไปซื้อไม่ได้เพราะเค้าไม่มีติดต่อไว้

สุดท้ายซื้อได้อยู่ดี  เพราะ Magnit PJSC มีสถาบันการเงินไปซื้อแล้วออก GDR อยู่ในตลาดหุ้นอังกฤษ London Stock Exchange ซึ่งพอร์ตของ SCBS ซื้อได้

สรุป  ADR กับ GDR ก็ไม่มีอะไรหรอก  เป็นวิธีการเอาหุ้นในตลาดนึงมาซื้อขายในอีกตลาดนึงเท่านั้นเอง  ซื้อได้ครับไม่มีปัญหาอะไร  ผมลองดูละ

ปล.  แต่ทีนี้ราคา GDR มันจะสะท้อนตามหุ้นจริงแค่ไหนผมก็ยังไม่ทราบเพราะนี่ก็เพิ่งซื้อเป็นครั้งแรกเหมือนกันครับ  ไว้ถ้าทราบเพิ่มเติมจะมาเขียนบอกนะ

“ทางเลือกมันเยอะ หุ้น, ตราสารหนี้, ทอง, อสังหา ฯลฯ  อันไหนดีสุด”

FAQ : So Many Things to Invest In, Which One To Choose?

เวลานักลงทุนมือใหม่เริ่มต้นสนใจจะลงทุน  เค้าจะพบว่าทางเลือกในการลงทุนมีเยอะเหลือเกินไม่รู้จะเลือกอันไหนดี  วันนี้ผมเลยรวบรวมคำถามกลุ่มนี้มาตอบไว้ที่เดียวกันครับ

what-should-i-invest-in

คำถาม   พวกทรัพย์สินต่างๆเหล่านี้  มันแตกต่างกันยังไงบ้าง

ทุกอันมันก็ต่างกันแหละครับ  แต่เพื่อความง่าย  ผมเสนอให้จำไว้ว่าทางเลือกในการลงทุนมีอยู่ 2 ประเภท

  1. ทรัพย์สินที่ตัวมันเองไม่ทำให้เกิดรายได้
  2. ทรัพย์สินที่ตัวมันเองทำให้เกิดรายได้

ทรัพย์สินที่ตัวมันเองไม่ทำให้เกิดรายได้  ความหมายก็ตามชื่อแหละ  คือตัวมันเองไม่มีรายได้  ไม่ได้มีการผลิตหรือทำให้มีเงินไหลเข้ากระเป๋า  จะกำไรได้คือมาจากขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงขึ้นเท่านั้น  อย่างเช่น  สแตมป์, ทอง, สัญญาอนุพันธ์, ที่ดินซื้อไว้เก็งกำไร,  ฯลฯ

ส่วนทรัพย์สินที่ตัวมันเองทำให้เกิดรายได้  คือตัวมันเองสร้างรายได้ให้เราได้  ทำให้มีเงินไหลเข้ากระเป๋า  กำไรจะมาจากรายได้ที่ทรัพย์สินนี้ทำได้  และรวมถึงกรณีขายต่อให้คนอื่นในราคาที่สูงขึ้น  อย่างเช่น  ตราสารหนี้, ห้องคอนโดปล่อยเช่า, หุ้น,  ฯลฯ

คำถาม   คุณเป้งคิดยังไงกับทอง  ช่วงนี้ควรซื้อมั้ย

ส่วนตัวผมไม่ชอบทอง  และไม่แนะนำให้ใครลงทุนนชในทอง  หลักๆก็เพราะตัวมันเองไม่มีรายได้นี่แหละ  สมมติเราซื้อทอง  ไม่ว่าจะในรูปทองคำแท่งหรือทองรูปพรรณหรือเป็นสัญญากระดาษ  ถือไว้มันก็จะเป็นแค่ทองเฉยๆ  คือเราต้องภาวนาให้มีคนบ้ากว่าเรามายอมซื้อต่อจากเราในราคาที่แพงขึ้น  เราถึงจะกำไรได้  แล้วคนที่ซื้อต่อจากเราไปก็ต้องเชื่อว่าจะมีคนบ้ากว่าเค้ามาซื้อต่อไปอีก

อีกอย่างที่ไม่ชอบคือ  ทองมันไม่เหมือนอย่างทองแดง  หรือไม้  หรือน้ำมันดิบ  ทองแดง, ไม้หรือน้ำมันดิบนี่ความต้องการในตลาดหลักๆคือเอาไปใช้ในการผลิตสินค้าอื่น  คนไม่ได้ซื้อไม้หรือน้ำมันดิบไปถือไว้เฉยๆเก็งกำไร  ในขณะที่ทองมันมีความต้องการที่จะเอาไปถือไว้เฉยๆด้วย  มันก็เลยเดายากกว่าอันอื่นขึ้นไปอีก

คำถาม   แล้วพวกทรัพย์สินที่ตัวมันเองไม่ทำให้เกิดรายได้อันอื่นๆล่ะ

ไม่สนับสนุน  เพราะผมว่ากลุ่มพวกนี้มันกะประมาณมูลค่ายาก  ไม่ค่อยชัวร์เท่าไหร่

อย่างพวกของสะสมนี่  คือเราไม่รู้ว่าสุดท้ายมันจะมีมูลค่าขึ้นมาจริงมั้ย  ผมว่านักลงทุนธรรมดาอย่างเราข้ามไปเถอะ

ที่ดินเปล่าซื้อมาเก็งกำไร  ด้วยความว่ามันไม่ได้ทำให้เกิดรายได้อยู่ ณ ปัจจุบัน  ผมว่ามันประมาณมูลค่ายากอยู่  ขึ้นอยู่กับว่าที่ดินแถบนั้นในอนาคตจะมีคนมาใช้ทำอะไรมั้ยล้วนๆ  ถ้าจะเอากำไรเยอะเราก็ต้องมองข้ามช็อตไปหลายปี  มันดูหวังพึ่งโชคยังไงไม่รู้

พวกสัญญาซื้อขายล่วงหน้า, ฟอเรกซ์, ออปชั่น  พวกนี้มักจะโฆษณาบอกกำไรเยอะ  และทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง  ซึ่งนั่นมันจริงครึ่งเดียว  คือขาดทุนก็เยอะเหมือนกัน  และขาดทุนได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง  ผมไม่แนะนำให้ลงทุนประเภทนี้เพราะอันนี้มันเหมือนเกมเดาทิศทาง  ที่มีระยะเวลากำหนดด้วยนะ  แปลว่าเราต้องเดาทางถูก  แต่เดาทางถูกไม่พอ  ต้องให้มันเกิดขึ้นในช่วงอายุของสัญญาด้วย  ผมว่าเราเพิ่มความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น  เหตุการณ์ระยะสั้นบางทีอารมณ์ล้วนๆ  มันไม่มีใครเดาได้ถูกสม่ำเสมอหรอกครับ

คำถาม   แล้วพวกตราสารหนี้ล่ะ

กลุ่มพวกนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ  ผมว่าโดยรวมดีกว่าเงินฝากประจำนะ  เพียงแต่ยังไงผลตอบแทนมันจะต่ำไปหน่อยเท่านั้นเอง  เหมาะกับคนที่ไม่นิยมความเสี่ยง  หรือต้องการมีรายได้สม่ำเสมอ

แต่เนื่องจากตัวผมเองไม่ได้ลงทุนกลุ่มนี้เลยไม่ค่อยรู้รายละเอียดอะไรครับ  แต่ก็โอเคนะ  แบ่งเงินส่วนหนึ่งมาซื้อก็ได้ครับ

คำถาม   แล้วลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ล่ะ

อันนี้พูดถึงไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่แล้ว  ไม่ได้รวมพวกสร้างเองพัฒนาที่ดินเอง  ส่วนตัวก็คิดว่าดีนะ  สนับสนุนเลย  แต่แค่ผมไม่ถนัด  ขี้เกียจไปดูแลด้วยครับ  ผมว่าอย่างห้องเช่าคอนโด  มันก็ต้องมีลงประกาศหาผู้เช่า  ไปเปิดห้องให้ดู  ผู้เช่าออกต้องไปตรวจสภาพห้อง  ห้องเสียได้หลายรูปแบบมากซ่อมนู่นนี่  บางทีงานซ่อมเล็กจะจ้างช่างเค้าก็ไม่มา  วุ่นวายมาก

แต่ข้อดีคือ  มีรายได้ตลอด  ถ้าเลือกไว้ดีตอนขายก็กำไรด้วย  และที่สำคัญสามารถลงทุนด้วยเงินกู้ได้ด้วย  ซื้อทรัพย์สินที่ใหญ่เกินเงินที่เรามีได้  ไม่เหมือนหุ้นที่จำกัดด้วยเงินที่เรามี  ถ้ามีฝีมือก็จะกำไรดีแหละ

คำถาม   แล้วพวกประกันสะสมทรัพย์ล่ะ

ประกันสะสมทรัพย์ไม่เอา  ไม่แนะนำ

ประกันน่ะสนับสนุนให้มี  บางทีชีวิตมันเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นได้  แต่ผมว่าซื้อประกันที่มันจำเป็นแล้วจบเถอะ  เช่น ประกันชีวิต, ประกันสุขภาพ, ประกันอุบัติเหตุ, ประกันไฟไหม้บ้าน, ประกันรถยนต์  มีประมาณนี้นะ

แต่พวกประกันออมทรัพย์อะไรนี่ไม่เอา  ผลตอบแทนห่วยมาก  ประกันมีไว้กันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น  ไม่ได้มีไว้เพิ่มพูนทรัพย์สิน  จ่ายเบี้ยเฉพาะที่จำเป็นแล้วเอาเงินไปลงทุนเองได้ผลตอบแทนดีกว่าเยอะ

คำถาม   แล้วลงทุนในกองทุนดีมั้ย

ดีๆ  ก็แนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่ไปลงทุนในหุ้น  และเลือกที่เป็นกองทุนดัชนีไปเลยที่ผู้บริหารกองทุนไม่ต้องตัดสินใจอะไรใดๆทั้งสิ้น  ลงตามดัชนี SET เลย  เอาแบบค่าธรรมเนียมต่ำด้วย  เหมาะกับคนไม่มีเวลาเลือกเอง  แนวโน้มจะออกมาโอเคด้วยนะ

แนะนำให้เป็นกองทุนดัชนีไปเลย  อย่าไปหวังพึ่งความสามารถอะไรเป็นพิเศษของผู้จัดการกองทุน  ต้องเข้าใจว่าอย่างแรกเราไม่รู้จักตัวผู้จัดการกองทุนนะ  ไม่มีอะไรจะบอกได้ว่าเค้าจะเก่งกว่าผู้จัดการกองทุนกองอื่น  การศึกษา, วุฒิ, CFA นู่นนี่มันก็มีกันทุกคนอ่ะ  และอย่างที่สองสมมติว่าผู้จัดการกองทุนเก่งจริงทำได้ดี  เค้าก็อาจจะถูกซื้อตัวไปที่อื่นอยู่ดี  ดังนั้นอย่าไปสนใจเลือกกองทุนดัชนีไปเลย  โดยเฉลี่ยแล้วมีงานวิจัยออกมาชัดเจนมากว่ากองทุนส่วนใหญ่ที่มีผู้บริหารกองทุนเลือกให้ซื้อขายบ่อยๆ  มันจะผลออกมาห่วยกว่ากองที่ตามดัชนีอย่างเดียว

คำถาม   แล้วลงทุนในอะไรดีสุด

ในความเห็นคือเรียงลำดับตามนี้

  1. ลงทุนในหุ้น ถ้าเลือกเองรู้เรื่องมีฝีมือ  ผมว่าอันนี้กำไรดีสุดละ
  2. LTF, RMF เลือกกองที่ลงทุนในหุ้นตามดัชนี ดีตรงประหยัดภาษีเนี่ยแหละ
  3. กองทุนลงทุนในหุ้นตามดัชนี อันนี้คือถ้าขี้เกียจผมว่าดีสุดละ
  4. กองทุนตราสารหนี้ ก็ปลอดภัยแหละนะ
  5. อสังหาริมทรัพย์ จริงๆกำไรดีกว่าตราสารหนี้  แต่มันยุ่งยากต้องดูแล  ผมขี้เกียจไง
  6. เงินฝาก มีเก็บไว้บ้างเผื่อจำเป็นต้องใช้อะไรขึ้นมา

ที่เหลืออย่างอื่นคือผมไม่ชอบเลย

คำถาม   ทำไมคุณเป้งถึงแนะนำให้ลงทุนในหุ้นมากที่สุด

ง่ายมาก  หลักๆเลยคือผลตอบแทนดีกว่าเพื่อน  และความเสี่ยงต่ำกว่าด้วยถ้าเรารอบคอบ

หุ้นมันคือการเป็นเจ้าของร่วมในกิจการ  กิจการหรือบริษัทมันเป็นอะไรที่คนสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างสรรค์สินค้าหรือบริการใหม่ๆให้กับผู้คน

ในระยะยาวแล้วไม่มีการลงทุนประเภทไหนสู้หุ้นได้  เพราะการลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท  มันคือการลงทุนในความสร้างสรรค์ของคน  อย่างอสังหาริมทรัพย์ก็เป็นการลงทุนที่ดี  แต่สุดท้ายมันก็จะเป็นแค่ทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดรายได้แค่นั้นจบ  อย่างดีก็อาจจะเก็บค่าเช่าได้เพิ่มขึ้น  ในขณะที่บริษัทอาจจะเริ่มไปซื้อเครื่องจักรมาแล้วมาผลิตสินค้าทำกำไร  แล้วเมื่อกำไรซักพักนึงบริษัทก็อาจจะขยายการผลิตเพิ่ม  หรือหาอะไรใหม่ๆมาขายเพิ่มเติมขึ้นไปอีก  และนี่คือสิ่งที่แตกต่าง  ธุรกิจมันเติบโตได้  มันขยายต่อเนื่องได้  ทำให้กำไรที่มันสร้างได้มันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ทรัพย์สินเดิมที่มีอยู่

ด้วยเหตุนี้ก็เลยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นมากที่สุดครับ

คร่าวๆก็ตอบประมาณนี้ครับ  จริงๆคำถามกลุ่มประเภทนี้มันจะมีเยอะนิดนึงคาดว่าคงตอบไม่หมด  ในอนาคตถ้าเจอคำถามอื่นๆจะรวบรวมมาตอบให้ครับ

ยุโรปปีนี้ดูน่าสนใจ

Europe Could Be Interesting in 2017

นักลงทุนสายพวกเราก็รู้กันอยู่ว่าชอบหุ้นตกรุนแรง  ช่วงปี 2017 นี้ดูมีแววเหมือนกัน  ผมนำเสนอยุโรปครับ  เราจะพูดถึงว่าทำไมยุโรปถึงน่าจับตามองปีนี้กัน

no-austerity

  1. เรื่องการเมือง

หลักๆปีนี้เป็นเรื่องการเมือง  ปีที่แล้วอังกฤษมีการโหวตคะแนนเสียงคนทั้งประเทศ  และได้ข้อสรุปว่าจะออกจากสหภาพยุโรป  ช่วงนี้นายกรัฐมนตรี Theresa May จะมีเวลา 2 ปีในการจัดการเรื่องต่างๆเตรียมสำหรับการแยกตัวออกจากสหภาพ  ช่วงที่ผ่านมานี้เศรษฐกิจของอังกฤษก็ไม่ได้ดูมีปัญหาหรืออะไร  แต่ต่อจากนี้ก็ไม่แน่เพราะยังมีความไม่แน่นอนอยู่มากว่าแยกตัวออกมาแล้วจะเป็นยังไง

ช่วงมีนาคมนี้ประเทศเนเธอร์แลนด็ก็กำลังจะมีการเลือกตั้ง  แล้วเดี๋ยวก็จะตามมาด้วยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของฝรั่งเศสช่วงปลายเมษายน  และช่วงกันยายนก็จะมีเลือกตั้งผู้นำของเยอรมนีอีก

ความสำคัญของการเลือกตั้งคือเราจะได้รู้ว่าประชาชนของประเทศเหล่านี้ยังสนับสนุนการอยู่ในสหภาพยุโรปอยู่หรือเปล่า  เพราะช่วงหลังมาก็เริ่มมีพรรคการเมืองในหลายประเทศที่เริ่มออกมาหาเสียงไปในทิศทางที่จะออกจากสหภาพยุโรปเหมือนอังกฤษ  ดังนั้นถ้าฝ่ายพรรคที่ไม่สนับสนุนสหภาพยุโรปเลือกตั้งชนะ  ก็อาจจะเริ่มเห็นประเทศอื่นแยกตัวออกไปเหมือนอังกฤษก็เป็นไปได้

  1. เศรษฐกิจโดยรวมดูดีขึ้น

ยุโรปโดยรวมดูดีขึ้น  เยอรมนีดูดีกว่าเพื่อน  อัตราการจ้างงานดูดี  บริษัทอังกฤษก็มีคาดการณ์กำไรสูงขึ้น  ค่าเงินยูโรและปอนด์ที่อ่อนตัวลงก็น่าจะทำให้การส่งออกดีขึ้นeurope-intersting

  1. นักลงทุนดูจะมองแง่ร้ายเพิ่มขึ้น

แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดูดีขึ้น  และ Brexit ก็ดูเหมือนจะไม่เลวร้ายอะไร  แต่ตัวเลขเงินทุนไหลออกจากกองทุนหุ้นในยุโรปสูงขึ้นชัดเจน  ซึ่งน่าจะมาจากความกลัวความไม่แน่นอนของประเทศแถบนี้ช่วงนี้  ผลคือทำให้หุ้นในแถบยุโรปน่าสนใจมากขึ้นเยอะเลย

โดยภาพรวม  MSCI Europe Index (ดัชนีภาพรวมที่รวมดัชนีตลาดหุ้นในยุโรป)  อัตราส่วน P/E อยู่ที่ 14.5 เท่า  และโดยเฉลี่ยกำไรเติบโตอยู่ที่หลักสิบต้นๆเปอร์เซนต์  เมื่อเปรียบเทียบกับ S&P 500 Index (ดัชนีหุ้นในอเมริกา)  อัตราส่วน P/E อยู่ที่ 17 เท่า  และโดยเฉลี่ยกำไรเติบโตอยู่ที่หลักหน่วยปลายๆเปอร์เซนต์  จะเห็นชัดเจนว่าหุ้นยุโรปถูกกว่าทั้งที่อัตราการเติบโตดีกว่า  หุ้นยุโรปช่วงนี้ไม่ได้รับความนิยมน่ะครับ

สรุปว่า  นักลงทุนที่อยู่โหมดมองแง่ร้ายมันจะตกใจง่ายกว่าปกติ  บวกกับความที่อาจมีเรื่องนู่นนี่นั่นทางการเมืองตามมาในปีนี้  เลยทำให้ปีนี้ตลาดยุโรปอาจจะมีตกได้  กลายเป็นที่น่าสนใจสำหรับพวกเราไปครับ

หุ้นที่ผมสนใจ – Williams-Sonoma

Stock in my focus – Williams-Sonoma

As of February 13, 2017              ราคาหุ้นอยู่ $48

บางช่วงก็จะหาอะไรน่าสนใจไม่ค่อยได้  แต่ช่วงนี้หุ้นตกกันเยอะ  โอกาสมีเกลื่อนไปหมด  ไม่รู้เป็นเพราะอะไร  บริษัทนี้ Williams-Sonoma ก็เป็นหนึ่งในที่ราคาตกลงมาเยอะ  ราคาตกซะจนน่าสนใจ  เลยเขียนเล่าให้ฟังครับ

Williams-Sonoma

william-sonoma-furniture william-sonoma-pic

ลักษณะธุรกิจ

แต่เดิมเริ่มต้นมาจากธุรกิจขายอุปกรณ์ในครัวเน้นคุณภาพสูง  ปัจจุบันขยายมาขายสินค้าตกแต่งบ้าน  เฟอร์นิเจอร์, ไฟ, และอื่นๆ  บริษัทนี้จะมีแบรนด์ของตัวเอง  และสินค้าประเภทที่ขายจะเน้นตลาดกลุ่มบน  ขายของคุณภาพสูงมีดีไซน์เป็นหลัก  บางทีก็มีไปจับมือกับดีไซน์เนอร์ต่างๆออกสินค้าใหม่

ช่องทางการขาย  รายได้ประมาณครึ่งนึงมาจากขายทางหน้าร้านของตัวเอง  และอีกครึ่งมาจากการขายออนไลน์  ถือว่าเป็นบริษัทที่ใช้หลายช่องทางพร้อมกันได้ดีทีเดียว

โดยรวมก็ดูจะเป็นแบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือระดับหนึ่ง  ขายสินค้าในราคาที่สูงกว่าปกติได้บ้าง  แต่ก็ไม่ได้นับว่าเป็นบริษัทที่มีอำนาจมากอะไรนักหนา

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

ทำได้โอเค  คือ 10 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปีไหนถึงขั้นขาดทุน  แต่ถามว่าเติบโตอะไรมากมายก็เปล่า  กำไรสุทธิของบริษัทเติบโตเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อนิดหน่อย  ที่ผ่านมาดูว่าไม่ได้เน้นการเปิดสาขาอะไรเยอะแยะ  มีการออกแบรนด์ใหม่ในเครือเพื่อมาจับกลุ่มตลาดเฉพาะเพิ่มขึ้น

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

ช่วงปีที่ผ่านมากำไรคงที่ไม่โต  ราคาหุ้นเลยตกรุนแรงมาก  ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวผมก็ไม่ได้อินกับลักษณะธุรกิจหรือตัวกิจการเท่าไหร่  แต่ด้วยราคาที่ตกมาเยอะจนถูกหลือเกินทำให้รู้สึกว่าน่าสนใจครับ

ภาษาหุ้นวันนี้ 8 :  การกระจายความเสี่ยง

Financial Terms 8 : Diversification

เวลาเค้าบอกลงทุนในหุ้นเราต้องมีการกระจายความเสี่ยงนะ  บางคนงงว่าอะไรคือกระจายความเสี่ยง  ทำไมต้องทำด้วย  แล้วกระจายยังไงดี  วันนี้เรามาอธิบายพูดคุยเรื่องนี้กัน

diversification-reduces-risk-overtime

การกระจายความเสี่ยงว่าง่ายๆคือ  เรากระจายการลงทุนของเราไปซื้อหุ้นหลายๆตัว  เพื่อให้โดยรวมแล้วทั้งพอร์ตเราผลตอบแทนสม่ำเสมอมากขึ้น  และมีความเสี่ยงลดลง  เพื่อให้เห็นภาพนึกตามนะ

สมมติมีธุรกิจ 2 บริษัท  บริษัทนึงทำรีสอร์ท  อีกบริษัทหนึ่งผลิตร่ม  สองบริษัทนี้ผลประกอบการขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ  ปีไหนอากาศดีรีสอร์ทก็ทำได้ดีส่วนบริษัททำร่มก็จะขายไม่ดี  กลับกันถ้าปีไหนอากาศไม่ดีรีสอร์ทก็จะธุรกิจไม่ดีส่วนร่มขายดี  สมมติว่าผลตอบแทนจากหุ้นของสองบริษัทนี้เป็นดังต่อไปนี้

                                                                      อากาศดี                 อากาศไม่ดี

ธุรกิจรีสอร์ท                                                           +50%                     -25%

ธุรกิจร่ม                                                                  -25%                      +50%

สมมติถ้าโอกาสที่ทั้งปีจะอากาศดีหรืออากาศไม่ดีเป็น  50-50

ถ้าเราซื้อหุ้นรีสอร์ทอย่างเดียว  ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าจะได้คือ      12.5% แหละ  แต่ว่าแต่ละปีอาจจะแกว่งรุนแรง

ถ้าเราซื้อหุ้นร่มอย่างเดียว  ผลตอบแทนเฉลี่ยที่น่าจะได้คือ                             12.5% เหมือนกัน  และแต่ละปีอาจจะแกว่งรุนแรง

แต่ถ้าเราแบ่งเงิน  ซื้อทั้งสองบริษัทอย่างละครึ่งๆล่ะ  ผลตอบแทนเราจะเป็น 12.5% เหมือนเดิม  แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือความแน่นอน  เพราะไม่ว่าอากาศดีหรือไม่ดี  เราจะกำไรอยู่ 12.5% แน่นอน

นี่เป็นตัวอย่างว่าการกระจายความเสี่ยงจะช่วยเราได้อย่างไร

ทีนี้ต่อไปคือกระจายอย่างไรดี  การกระจายความเสี่ยงถ้ามันจะได้ผลคือ  มันต้องลงทุนในหุ้นที่ไม่เกี่ยวกันหรือโดนผลกระทบไปทางเดียวกัน

เช่นสมมติเรากระจายความเสี่ยงโดยการซื้อหุ้นธนาคารทั้งหมด  เกิดมีฟองสบู่คอนโดหรืออะไรเกิดขึ้น  มันก็จะโดนทุกธนาคารและหุ้นเราก็จะเละทั้งหมดอยู่ดีแม้ว่าจะถือหุ้นอยู่หลายตัว

แต่สมมติเรากระจายความเสี่ยงไว้หลากหลาย  มีหุ้นธนาคาร, ค้าปลีก, น้ำประปา  ฟองสบู่คอนโดเกิดขึ้นก็อาจจะมีผลต่อหุ้นธนาคารเราแต่ไม่มีผลกับหุ้นน้ำประปา  อะไรประมาณนี้

กล่าวโดยสรุป  การกระจายความเสี่ยงก็คือลงทุนในหุ้นหรือทรัพย์สินหลายประเภท  ทั้งนี้เพื่อลดความเสี่ยงกรณีไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้น  ผมส่วนตัวสนับสนุนการกระจายความเสี่ยงแหละ  แต่ทีนี้มันก็มีจุดที่กระจายเกินไปเหมือนกัน  ผมเคยเขียนบทความว่าควรถือหุ้นกี่ตัวเอาไว้  สามารถไปอ่านต่อได้ถ้าสนใจ

เราควรจะมีหุ้นกี่ตัวในพอร์ท

คำถามยอดฮิต  “ผมวิเคราะห์หุ้นแล้ว ซื้อไป แล้วราคาหุ้นตก”

FAQ : Did My Homework, Bought And Price Dropped

รอบที่ผ่านมามีคนถามลักษณะนี้พอสมควร  วันนี้รวบรวมคำถามที่เจอจากนักเรียนถามจริงมาตอบครับ  บางคำถามเค้าก็ถามต่อกัน  ส่วนการตอบในบทความนี้จะตอบแบบจริงที่บางทีไม่สะดวกตอบตอนจัดสัมมนา  อาจฟังดูโหดร้ายไปบ้างแต่ตอบด้วยความหวังดีแน่นอนครับ

คำถาม   ผมมีการวิเคราะห์ดูกำไรอะไรแล้วโอเค  ซื้อไป  แล้วราคาหุ้นตกลงมาเรื่อยทำยังไง

“ก็ถ้าดูว่าเราตัดสินใจดีแล้ว  บริษัทดี  ซื้อมาราคาโอเค  ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลนี่ครับ  ราคาในช่วงสั้นมันก็มีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา  แต่ถ้าสุดท้ายผลประกอบการธุรกิจเป็นไปตามที่เราคาดไว้  ซักพักคนก็จะรู้สึกตัวและราคาหุ้นก็จะปรับตามเอง  ดังนั้นตามองไปที่ตัวธุรกิจอย่างเดียวอย่าเขว”

คำถาม   ราคาที่ตกลงมาไม่ได้แปลว่ากิจการจะแย่ลงเหรอ

“ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยครับ  ราคาสะท้อนความเห็นของคนหมู่มากก็เท่านั้น  ราคาหุ้นที่สูงขึ้นหรือต่ำลงไม่ได้มีผลอะไรกับตัวบริษัทเลย  และนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดก็เป็นพวกระยะสั้นหรือไม่ก็มั่วทั้งนั้น  ถ้าเราทำการบ้านดีแล้ว  หายังไงก็ไม่เห็นเหตุผลที่กิจการมันจะเละ  ราคาตกก็ยิ่งดีไปใหญ่สิครับ  หวานเราเลยแหละ  ไม่งั้นเราจะได้ของถูกได้ไง  มองให้มันเป็นเรื่องดีสิ  อย่าไปหลงเชื่อความคิดสมัครเล่น”

คำถาม   ที่คุณเป้งบอก  ให้ซื้อบริษัทที่ราคาตกด้วยปัจจัยชั่วคราว  เราจะรู้ได้ไงว่ามันชั่วคราว  แล้วราคามันตกลงไปอีกทำไง

“อันนี้มันแล้วแต่กรณีละครับเพราะแน่นอนแต่ละเหตุการณ์มันไม่เหมือนกัน  บางเหตุการณ์มันก็ง่ายนะ  อย่างเช่นน้ำท่วม, ม๊อบอะไรแบบนี้  ใครก็รู้ป้ะว่ามันเป็นปัญหาชั่วคราว”

“แต่สมมติเป็นเรื่องยากขึ้น  อันนี้แล้วแต่ตความสามารถแต่ละคนแล้วแหละ  ผมช่วยอะไรคุณไม่ได้  มันเป็นหน้าที่เราที่ต้องรับผิดชอบผลลัพธ์ตัวเอง  ดังนั้นเราต้องถามตัวเองว่าเข้าใจกิจการกับอุตสาหกรรมนั้นขนาดไหน  มั่นใจมั้ยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาชั่วคราวที่ถ้าผ่านไปบริษัทจะกลับมาดี  ถ้าไม่รู้เรื่องหรือไม่มั่นใจก็อย่าไปลงทุนสิ  ข้ามไป  ไปหาโอกาสที่เรามั่นใจดีกว่าครับ”

“ส่วนเรื่องราคาตอบเหมือนเดิม  อย่าไปสนมันมากนัก  ผลกิจการเป็นเหตุ  ราคาหุ้นเป็นผลที่ตามมา  ไม่ใช่ราคาหุ้นเป็นเหตุ”

คำถาม  (ถามอะไรไม่รู้  มาได้หลากหลายรูปแบบ  แต่สรุปคือยังกังวลอยู่ดี  นู่นนี่นั่น)

ผมว่าถ้ายังกังวลขนาดนี้เราต้องกลับมาพิจารณาตัวเองแล้วแหละ  ความผิดคงไม่ใช่ที่หุ้นแล้วแหละ  ลองเช็คตามนี้  ต้องรู้ตัวเองนะ  ขาดหายไปเรื่องไหนก็ไปเติมเรื่องนั้น

  1. ที่เรากังวลนี่ มาจากไม่เข้าใจกิจการหรือเปล่า

เรื่องนี้อาจจะเป็นเหตุผลให้เกิดความกังวลได้  เพราะเราไม่เข้าใจมันจริงๆ  เลยไม่ชัวร์ว่ามันเป็นกิจการที่ได้เปรียบจริงมั้ย  อันนี้ก็แก้ไขง่าย  ก็ไปอ่านเพิ่มเติมทำความเข้าใจกิจการซะ  ไปคอนเฟิร์มว่ามันเป็นกิจการที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า  อ่านงบการเงินเช็คดูด้วยจะได้สบายใจ

  1. หรือเป็นเพราะเราไม่มีความสามารถในการประมาณการณ์ผลตอบแทนหรือเปล่า

คือรู้แล้วแหละว่ากิจการมันดี  แต่ที่กังวลเพราะไม่รู้ว่าราคาที่ตัวเองซื้อมานี่ถูกหรือแพงก็ทำให้กังวลได้  อันนี้ก็ไปเรียนรู้วิธีการประเมินมูลค่าซะครับ  แน่นอนว่ามันไม่มีใครรู้อนาคตและไม่มีวิธีการไหนเพอร์เฟค  แต่มันจะช่วยให้ประมาณคร่าวๆได้  และคุณจะมั่นใจมากขึ้นแน่นอน

  1. แต่ถ้ามั่นใจว่าวิเคราะห์ได้ดีแล้ว แต่ยังกังวลอยู่  ผมว่าคุณนั่งเฝ้าราคามากเกินไปละ

เลิกนั่งเฝ้าราคาได้แล้ว  การนั่งจ้องหน้าจอตัวเลขกระดิกไปมาจะไม่ทำให้เรากำไรดีขึ้น  ดังนั้นเลิกนิสัยเช็คราคาหุ้น  แล้วเอาเวลาไปทำอย่างอื่นเถอะ  ไม่ต้องเป็นอะไรมีสาระก็ได้  จะไปนั่งอ่านการ์ตูน, เล่นเกมยังเข้าท่ากว่าเลย  เวลาลงทุนเหมือนแข่งกีฬาน่ะครับ  ตามองเกมที่แข่งตั้งใจแข่ง  ไม่ใช่มัวแต่มองสกอร์บอร์ด  ลงทุนในหุ้นตามองตัวกิจการที่เราเลือก  ไม่ใช่นั่งมองราคาหุ้น

สรุป

ถ้าเราเป็นมืออาชีพ  ได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วและตัดสินใจไปแล้ว  เราไม่ต้องสนแล้วว่าราคาหุ้นจะตก  อย่าไปสนใจเสียงนกเสียงกาความคิดเห็นคนอื่น  สิ่งที่จะพิสูจน์การตัดสินใจของเราคือ  ปลายทางผลประกอบการตัวกิจการที่เราเลือกเป็นอย่างไร  ถ้าเราแม่นยำเรื่องนี้เดี๋ยวราคาหุ้นมันตามมาเองอยู่แล้ว

ดังนั้นจงเป็นมืออาชีพ  ตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพตั้งแต่แรก  และเลิกนั่งจ้องราคาหุ้นได้แล้ว