หมายเหตุประกอบงบการเงิน
What To Read On The Annual Report (Part 7)
นี่เป็นเรื่องหลักอันสุดท้ายละครับ ตรงส่วนนี้ของรายงานประจำปีก็เป็นตามชื่อแหละ มันคือหมายเหตุที่อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรายการบนงบการเงิน
วิธีการจริงๆคือดูเรื่องที่เราอยากรู้น่ะ เช่น สมมติเราเห็นว่าบริษัทมีรายการ “จ่ายเงินซื้อเงินลงทุนระยะยาว” สูงขึ้นเยอะมาก เราก็ตามไปดูหมายเหตุเลขที่กำกับไว้ในงบการเงินแล้วอ่านดูว่าเงินลงทุนระยะยาวที่ว่านี่คืออะไร
สมมติไม่มีอะไรอยากรู้เป็นพิเศษ แนะนำให้ดูเรื่องต่อไปนี้
- อ่านเรื่องมาตรฐานการรายงาน ดูว่ามีการเปลี่ยนวิธีรายงานเรื่องสำคัญหรือเปล่า
- อ่านนโยบายการบัญชี ส่วนตรงนี้เค้าจะพูดถึงวิธีการบันทึกรายการสำคัญต่างๆ อ่านดูคร่าวๆว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต สิ่งผิดสังเกตในที่นี้คือหมายถึงเช่น พวกการรับรู้รายได้ไม่นับเป็นรายได้เร็วผิดปกติ การเผื่อหนี้สงสัยจะสูญหย่อนยานผิดปกติ ฯลฯ
- รายละเอียดเงินลงทุนระยะยาว บริษัทลูก ร่วมทุน ฯลฯ
- รายละเอียดพวกเงินกู้ยืมระยะยาวต่างๆ
- ให้ความสำคัญกับพวกหุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิ์ ออปชั่น หรือพวกหุ้นบุริมสิทธิ์เป็นพิเศษ พวกที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นทุนได้ทั้งหลายนี่ต้องดูไว้เลย เราต้องเผื่อเกิดการเจือจางความเป็นเจ้าของกรณีที่แปลงเป็นหุ้นทุนทั้งหมด เราควรจะรู้ไว้ว่าเราถูกเจือจางได้มากสุดกี่ %
- อ่านแจกแจงรายได้ ค่าใช้จ่ายตามลักษณะ
โดยปกติคือถ้าไม่มีอะไรอยากรู้เป็นพิเศษ ก็คืออ่านรายละเอียดให้เข้าใจมากขึ้นเฉยๆครับ เอาให้รู้ว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต
อ่านงบการเงิน (สมมติไม่รู้บัญชีเลย)
What To Read On The Annual Report (Part 6)
ถัดจากความเห็นผู้สอบบัญชี ก็จะมาถึงส่วนที่รายละเอียดเยอะของรายงานประจำปีละครับ มันจะเป็นงบการเงินส่วนใหญ่ตรงนี้คนมักมีปัญหาอ่านไม่รู้เรื่องเพราะจะเอารู้เรื่องจริงจังต้องมีความรู้บัญชีประกอบ แต่โจทย์วันนี้คือเราจะมาพูดถึงการดูอ่านจับใจความที่คนไม่มีพื้นฐานเรียนบัญชีมาอ่านรู้เรื่องก่อน (ซึ่งต้องบอกว่ารู้บัญชีจะดีกว่าเยอะเลย คนไม่รู้บัญชีเสียเปรียบมาก)
อันแรกที่เจอจะเป็นงบแสดงสถานะทางการเงิน ผมจะกวาดตาดูเรื่องดังต่อไปนี้
- ในหมวดสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน หาชื่อประมาณนี้ “ที่ดิน อาคารและอุปกรณ์” แล้วดูว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเยอะมั้ย ถ้ามันเยอะแปลว่าน่าจะมีการลงทุนขยายอะไรซักอย่าง ต้องลองดูว่าสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้บริหารบอกว่าทำหรือเปล่า
- ดูหมวดหนี้สินไม่หมุนเวียน ดูรายการพวก “เงินกู้ยืมระยะยาวสถาบันการเงิน”, “เงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร”, “หุ้นกู้” อันนี้คือเงินกู้ยืมระยะยาวที่ถ้าเป็นไปได้ไม่ควรมีอะไรเยอะแยะ ดูว่าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าเยอะมั้ย ถ้าเยอะก็ต้องดูว่าเป็นเพราะขยายกิจการอะไรหรือเปล่า
อันต่อมาเป็นงบกำไรขาดทุน ดูคร่าวๆเรื่องดังต่อไปนี้
- รายได้เพิ่มขึ้นมั้ย
- ต้นทุนขายหรือต้นทุนการให้บริการ เพิ่มขึ้นหรือลดลงเป็นสัดส่วนเดียวกับรายได้หรือเปล่า เช่นถ้ารายได้เพิ่มขึ้น 10% ต้นทุนของหรือบริการที่ขายก็ควรจะเพิ่มขึ้น 10% ตาม ถ้ารายได้ลงลง 15% ต้นทุนของหรือบริการที่ขายก็ควรจะลดลง 15% ตาม ถ้ามันไม่ขยับในทิศทางเดียวกัน หรือคลาดเคลื่อนจากกันเยอะ อันนี้ก็ผิดปกติ
- ย้อนกลับไปหน้างบแสดงสถานะทางการเงิน เทียบสัดส่วนลูกหนี้การค้ากับรายได้ดูซิ สัดส่วนมันควรจะเท่าๆเดิมนะ เป็นไปได้เก็บเงินลูกค้าได้จะดีที่สุด ดังนั้นถ้าเห็นลูกหนี้การค้าเพิ่มขึ้นเร็วกว่ารายได้ก็แปลว่าน่าสงสัยละ
- กำไรสุทธิเพิ่มขี้นมั้ย
- กำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นหรือเปล่า เช่น รายได้เพิ่มขึ้น 20% โดยไอเดียกำไรสุทธิก็น่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เหมือนกัน ถ้าสมมติรายได้เพิ่มขึ้นเยอะเลย 20% แต่กำไรสุทธิเท่าเดิม หรือเพิ่มน้อยมาก 5% อะไรงี้ เราก็ต้องเอะใจบ้างแล้วและหาว่ารายได้ที่ได้มา หายไปกับเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมกำไรไม่โตตามรายได้
- สังเกตหารายได้หรือรายจ่ายที่ไม่ใช่รายการปกติ เช่น กำไรหรือขาดทุนจากการขายทรัพย์สิน, กำไรหรือขาดทุนจากเงินประกันน้ำท่วม, กำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน รายได้หรือรายจ่ายกลุ่มนี้เป็นพวกตัวชั่วคราว อาจทำให้กำไรดูดีหรือแย่เกินความเป็นจริงได้
ถัดมาเป็นงบแสดงการเปลี่ยนแปลงส่วนของผู้ถือหุ้น
- พิจารณาตรง “ทุนที่ออกจำหน่ายและชำระแล้ว” หรือชื่อประมาณนี้ ดูว่าไม่ได้เพิ่มขึ้น และถ้าเห็นว่าเพิ่มขึ้นให้ดูว่ามาจากสาเหตุอะไร ถ้ามาจากปันผลเป็นหุ้นไม่เป็นไร แต่ถ้ามาจากการออกหุ้นใหม่หรืออย่างอื่น อาจต้องสงสัยนิดนึงว่าเค้าจะออกหุ้นใหม่มาทำอะไร
สุดท้ายตรงส่วนงบกระแสเงินสด
- หมวดกระแสเงินสดจากการดำเนินงานควรจะเป็นบวก เพราะดำเนินงานแล้วไม่ได้เงินไปเรื่อยๆมันเจ๊งแน่นอน
- หมวดการลงทุน โดยชื่อมันก็รู้อยู่แล้วว่าควรจะเป็นลบเพราะเราใช้เงินไปลงทุน ส่วนนี้สังเกตว่าลงทุนเรื่องอะไร เป็นการซื้อที่ดิน อาคารและอุปกรณ์เหรอ หรือเป็นการลงทุนระยะยาวในบริษัทลูก หรือทำอะไร
- หมวดการจัดหาเงิน อันนี้ก็ดูว่ามีการกู้ยืมเงินเพิ่มเติมแค่ไหน เอาเงินไปทำอะไร คอยดูว่ามันไม่บ้าจนเกินไป
โดยรวมแล้ว ถ้าเป็นผมไม่รู้บัญชี ผมก็จะดูเรื่องหลักๆประมาณนี้แหละ จริงๆส่วนตรงนี้สำคัญมาก เราต้องการจะรู้ว่าทั้งหลายทั้งปวงสุดท้ายแล้วบริษัททำได้ดีแค่ไหนอย่างไร และมีอะไรผิดสังเกตไปบ้าง
ปล. ซึ่งถ้าเป็นไปได้บอกจากใจจริงด้วยความหวังดี ไปเรียนบัญชีพื้นฐานเถอะนะ ไม่ได้ต้องถึงขนาดลงบัญชีเองได้ แต่หัดให้อ่านรู้เรื่องเถอะครับ เราจะได้เปรียบคนอื่นอีกเยอะ จะบอกว่าปกติเรื่องนี้ผมมีเปิดคอร์สสอนด้วยนะ
หุ้นที่ผมสนใจ – Hanesbrands
Stock In My Focus – Hanesbrands
As of February 9, 2017 ราคาหุ้นอยู่แถว $20-21
ตลาดหุ้นไทยช่วงนี้ไม่มีอะไรตกรุนแรงเลยไม่น่าสนใจเท่าไหร่ครับ ช่วงนี้เลยมาแนะนำโอกาสลงทุนในต่างประเทศ วันนี้ผมจะเขียนถึงหุ้นที่ผมเพิ่งซื้อไป บริษัท Hanesbrands Inc
Hanesbrands
ลักษณะธุรกิจ
ทำเสื้อผ้า, เสื้อกล้าม, ชุดชั้นในทั้งของผู้ชายและผู้หญิง เป็นยี่ห้อเน้นใส่สบายไม่ใช่แฟชั่น มียี่ห้อในเครือหลากหลาย เช่น Hanes, Champion, Playtex, Maidenform มีโรงงานทำการผลิตด้วยตัวเอง ไม่ได้เป็นลักษณะจ้างคนอื่นผลิต และไม่ได้เน้นลักษณะเปิดร้านตัวเองขาย ปกติคือขายผ่านคนอื่น
สิ่งที่มันน่าสนใจคือ หลายยี่ห้อที่บริษัทนี้เป็นเจ้าของเป็นผู้นำอันดับต้นๆในหมวดเสื้อผ้าของตัวเอง
Hanes เป็นอันดับหนึ่งเรื่องยอดขายเสื้อในกางเกงในผู้ชายในตลาดอเมริกา
Champion เป็นยี่ห้อเสื้อกีฬา ทำเสื้อให้สโมสรฟุตบอล, เสื้อเล่นบาส, เสื้อทีมบาสมหาวิทยาลัย ฯลฯ
Playtex เป็นผู้นำอันดับหนึ่งหรือสองในตลาดผ้าอนามัยแบบสอด
Maidenform ยี่ห้ออันดับหนึ่งเรื่องชุดกระชับสัดส่วนในตลาดอเมริกา
Pacific Brands ผู้นำตลาดเสื้อในและชุดชั้นในในออสเตรเลีย
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา บริษัททำได้ดีมาโดยตลอด มีช่วงกำไรหดตอนวิกฤติเศรษฐกิจบ้างแต่ไม่เคยถึงขาดทุน
วันนี้เทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว บริษัทกำไรมากขึ้นกว่าเดิมประมาณ 4 เท่ากว่า โดยส่วนใหญ่มาจากการขยายด้วยวิธีซื้อกิจการ เท่าที่สังเกตก็จะเป็นพวก Innerwear กับพวก Activewear ซึ่งเป็นธุรกิจประเภทที่เกี่ยวข้อง และสามารถใช้โรงงานที่ตัวเองมีอยู่แล้วผลิตได้
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
กิจการทำได้ดีขึ้น แต่ราคาหุ้นตก ลักษณะแบบนี้เป็นอะไรที่ผมชอบมาก
บริษัทนี้น่าจะไม่ได้เติบโตหวือหวาอะไร แต่ข้อดีคือไม่น่าจะมีปัญหาจากพวกปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือจากรสนิยมผู้บริโภคเปลี่ยนเหมือนกลุ่มเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่น ผมคาดหวังว่าบริษัทจะทำได้ดีใกล้เคียงเดิมและน่าจะค่อยๆเติบโตได้จากการไปซื้อกิจการลักษณะเดียวกันในต่างประเทศ
ดังนั้นโดยรวมแล้วเชื่อว่าบริษัทระยะยาวแล้วไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ที่ผ่านมาทำได้ดีขึ้น บวกกับว่าช่วงปีที่ผ่านมาราคาหุ้นตกลงไปอย่างรุนแรง เป็นเหตุผลทำให้ผมซื้อไปครับ
หุ้นที่ผมสนใจ – Express Scripts
Stock in my focus – Express Scripts
As of February 12, 2017 ราคาหุ้นอยู่ $68.41
ถ้าพูดถึงเวลานี้ โอกาสที่ดีที่สุดอันนึงที่ผมหาได้ก็หุ้นบริษัทนี้เลยครับ Express Scripts แต่โมเดลธุรกิจเค้าอาจจะอ่านเห็นภาพยากนิดนึงเพราะรูปแบบธุรกิจแบบนี้ไม่มีในเมืองไทย เท่าที่เห็นมันเป็นธุรกิจที่มีเฉพาะในอเมริกาเท่านั้น
Express Scripts
ลักษณะธุรกิจ
เป็นบริษัทประเภท pharmacy benefit managers คือทำหน้าที่จัดการเรื่องการจ่ายยาสำหรับผู้ป่วย โดยเน้นพวกที่มีประกันสุขภาพ (ซึ่งในอเมริกาคนส่วนใหญ่จะพยายามมีประกันสุขภาพแหละ เพราะยาและพวกค่ารักษาพยาบาลมันแพง)
ไอเดียคือบริษัท Express Scripts นี้เป็นตัวกลางต่อรองราคายา ลูกค้าหลักคือพวกที่เป็นประกันสุขภาพทั้งโครงการรัฐบาลและบริษัทเอกชน วิธีการทำให้ราคายาถูกลงหลักๆคือ
อ่านต่อ »
บริษัทย่อย บริษัทร่วมต่างๆ
What to Read on The Annual Report (Part 4)
ไหนๆเราอ่านรายงานประจำปีของบริษัทแล้ว เราสละเวลาซักนิดนึงอ่านผ่านๆเกี่ยวกับบริษัทย่อยและบริษัทร่วม
โดยปกติบนรายงานประจำปีจะมีหน้านึงที่พูดถึงบริษัทย่อย หรือบริษัทร่วมที่ตัวบริษัทที่เราดูอยู่ไปถือหุ้น ข้อมูลจะพูดถึงคร่าวๆว่าบริษัทชื่ออะไร ลักษณะธุรกิจคืออะไร และมีสัดส่วนการถือหุ้นกี่ %
เรื่องส่วนนี้ปกติดูคร่าวๆแหละ ผมมักจะสังเกตเรื่องต่อไปนี้
-
ธุรกิจที่บริษัทไปลงทุนเหล่านี้ มันดูเกี่ยวข้องกับกิจการหลักหรือเปล่า หรือมันดูจับฉ่ายมากอะไรก็ไม่รู้ไม่เกี่ยวกัน โดยปกติผมก็จะไม่ชอบบริษัทที่ลงทุนในเรื่องไม่เกี่ยวข้องเท่าไหร่
-
อ่านดูให้เห็นภาพมากขึ้นว่าบริษัทลงทุนกับธุรกิจแบบไหนอยู่ บางทีเราจะพบอะไรน่าสนใจ ตัวอย่างที่เจอส่วนตัวเช่นโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์งี้ ผมเคยสงสัยว่าทำไมเค้าไม่ขยายสาขาหรืออะไรซะที ไม่เหมือนกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพที่ขยายอยู่ตลอด พอไปอ่านดูจะเจอว่าบำรุงราษฎร์มีไปซื้อกิจการโรงพยาบาลในมองโกเลียครับ ตอนอ่านเจอก็งงๆ เออแปลกดีเหมือนกัน
หลักๆคือเราอ่านให้รู้ไว้ว่าบริษัทมีบริษัทในเครือทำอะไรอยู่บ้าง อยู่ในอุตสาหกกรมเกี่ยวข้องเอื้อกันหรือเปล่า รู้ไว้ให้เข้าใจบริษัทมากขึ้นอีกนิดนึงครับ
อ่านดูว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร (Part 3)
What to Read on The Annual Report (Part 3)
คณะผู้บริหารเป็นใคร เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ด้วยมั้ย และค่าตอบแทนผู้บริหารเป็นไงบ้าง
นอกจากเรื่องบริษัททำอะไร และกำลังจะทำอะไรต่อ ถ้ามีเวลาเราอ่านเพิ่มนิดนึงเรื่องเกี่ยวกับผู้บริหาร
เวลาอ่านรายงานเกี่ยวกับผู้บริหารว่าเป็นใครมาจากไหนทำอะไรมา โดยปกติตราบใดที่ผู้บริหารทำให้กิจการเติบโตได้สม่ำเสมอผมว่ามันก็โอเคละเรื่องฝีมือ ให้ถือว่าพิสูจน์จากผลประกอบการของบริษัทเอา แต่ทีนี้มันจะมีเรื่องอื่นอยู่นิดนึงที่อาจจะต้องสังเกตไว้
-
สังเกตดูว่า กลุ่มผู้บริหารกับกรรมการบริษัท มีความเกี่ยวข้องกันมั้ย โดยเฉพาะว่าเป็นครอบครัวเดียวกันหลายคนหรือเปล่า
- สมมติว่าเกี่ยวข้องกันเป็นครอบครัวอยู่หลายคน ไม่ได้แปลว่ามันต้องไม่ดีหรือมีปัญหา แต่เราต้องรู้เอาไว้และระวังไว้หน่อยก็ดี นึกภาพว่าถ้าเป็นเราเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มีคนในครอบครัวหลายคนในบริษัท ก็อาจจะเอื้อประโยชน์กันเอง เช่น จ่ายเงินเดือนผู้บริหารสูงๆ, ลงทุนในบริษัทย่อยของคนในครอบครัว, ซื้อทรัพย์สินอะไรที่ไม่เป็นสาระของคนในครอบครัว, ฯลฯ
-
อ่านเรื่องค่าตอบแทนผู้บริหาร
- พิจารณาเงินได้ทั้งปีรวมโบนัส ดูว่าเป็นกี่ % ของกำไรสุทธิ แล้วเปรียบเทียบกับบริษัทกลุ่มเดียวกันว่าถือว่าปกติหรือเปล่า หรือว่าสูงจนผิดปกติ
- อ่านเกี่ยวกับพวกค่าตอบแทนที่เป็นออปชั่นหรือวอร์แรนต์ โดยไอเดียการตอบแทนลักษณะนี้คือทำให้ผู้บริหารมีผลดีถ้าสามารถทำให้บริษัทกำไรเพิ่มขึ้นและราคาหุ้นสูงขึ้น แต่บางบริษัทเค้าก็ตั้งราคาใช้สิทธิ์ไว้ต่ำซะจนยังไงก็กำไรอยู่ละ แบบนี้ให้ระวังมาก มันเหมือนเป็นการแจกเงินผู้บริหารแถมยังมาเจือจางความเป็นเจ้าของของหุ้นเราด้วย
ประเด็นหลักโดยสรุปคือ อ่านดูว่าผู้บริหารกำลังทำให้บริษัทเจริญ และตัวเองกับผู้ถือหุ้นรวยไปด้วยกัน หรือทำให้ตัวเองรวยคนเดียว ซึ่งเรื่องตรงนี้อาจจะไม่ได้มีเกณฑ์ตายตัว อ่านดูว่าไม่ได้มีทำอะไรไม่แฟร์กับผู้ถือหุ้นเป็นใช้ได้ครับ
อ่านดูว่าบริษัทกำลังจะทำอะไร (Part 2)
What to Read on The Annual Report (Part 2)
เรื่องต่อมาที่ควรอ่านจากรายงานประจำปี คืออยากจะรู้ว่าบริษัทกำลังจะทำอะไรต่อ กำลังโฟกัสไปที่เรื่องอะไร
เนื้อหาเรื่องพวกนี้บางบริษัทก็เขียนพูดถึงเยอะ บางบริษัทก็พูดถึงคร่าวๆ โดยปกติแล้วแนะนำให้อ่านตรง สารจากกรรมการผู้จัดการ และพวกคำอธิบายผลการดำเนินงานจากฝ่ายบริหารครับ
เวลาอ่านส่วนตัวผมจะพยายามมองหาเรื่องดังต่อไปนี้
-
สารจากกรรมการหรือผู้บริหาร โดยปกติตรงส่วนนี้ผู้บริหารจะออกมาพูดว่าปีที่ผ่านมาทำได้ยอดเยี่ยม ได้พัฒนาเรื่องอะไรมาบ้าง และบริษัทมีจุดยืนจะทำอะไรต่อไป ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอะไรกว้างมากไม่ได้เจาะจงอะไร
- สังเกตช่วงปีที่ผลประกอบการไม่ดี ดูว่าเค้าพูดถึงปัญหาอย่างไร พูดถึงปัญหาตรงๆหรือพยายามพูดให้ดูดีไว้ก่อน พูดในลักษณะยอมรับในความผิดพลาดและหาแนวทางการแก้ไข หรือพูดในลักษณะว่าเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
- ลองไปดูย้อนปีเก่าๆตรงส่วนนี้ดู เช่นเอาของปี 2553 มาดูซิว่าเคยพูดว่าจะทำอะไร แล้วปัจจุบันตอนนี้ได้ทำตามที่พูดหรือเปล่า
-
คำอธิบายผลการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ส่วนตรงนี้เค้ามีไว้ให้ทีมผู้บริหารอธิบายแจกแจงเกี่ยวกับผลการดำเนินงาน โดยปกติก็จะพูดถึงภาพรวมปีที่ผ่านมา แนวโน้มปีหน้า และขยายความเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของการดำเนินงานที่ผ่านมา เช่นบอกว่ารายได้เพิ่มขึ้นจากอะไรบ้าง ขายของเยอะขึ้นเหรอหรือว่าขายของเท่าเดิมแต่ขึ้นราคา ฯลฯ
- สังเกตว่ารายได้เพิ่มขึ้น หรือรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากปัจจัยอันมาจากความโชคดีที่บริษัทควบคุมไม่ได้หรือเปล่า เช่น กำไรที่ดีขึ้นมาจากรายจ่ายน้อยลงเพราะต้นทุนราคาน้ำมันที่ต่ำลง แบบนี้แปลว่าปีนี้อาจดีผิดปกติ ถ้าปีไหนน้ำมันแพงก็อาจจะกำไรน้อยลงนะ
- แนวโน้มรายได้ กับพวกค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไรบ้าง อันไหนเพิ่มขึ้นเร็วกว่ากัน บริษัทมีแผนอย่างไรกับเรื่องการขายหรือการบริหาร
- มีการลงทุนอะไรใหญ่ๆไปบ้างมั้ย กำลังจะสร้างโรงงานใหม่หรือเปล่า มีแผนที่จะขยายสาขาหรือเปล่า หรือมีการไปซื้อกิจการหรือลงทุนในบริษัทลูกอะไรเพิ่มเติมมั้ย
หลักๆคือเราพยายามอ่านดูว่าบริษัทกำลังทำอะไรอยู่ กำลังมีความพยายามพัฒนาในด้านไหน แล้วเราเห็นด้วยกับทิศทางของบริษัทมั้ย เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ควรทำความเข้าใจก่อนที่เราจะตัดสินใจเป็นเจ้าของร่วมของบริษัทครับ
อ่านให้รู้ว่าเค้าทำอะไร
What to Read on The Annual Report (Part 1)
ต้องยอมรับว่ารายงานประจำปีเป็นอะไรที่หลายหน้ามาก อ่านทีต้องใช้เวลาเยอะ และเป็นอะไรที่ไม่สนุกด้วยนะ แต่ในเมื่อไหนๆก็ต้องอ่าน วันนี้ผมมาพูดถึงให้ฟังว่าเวลาอ่านเราควรสนใจอะไรบ้าง ไม่ได้หมายความว่าให้อ่านแค่บางเรื่องนะ ดีที่สุดเราควรอ่านให้ละเอียดทั้งเล่มนั่นแหละครับ แต่วันนี้เรามาพูดถึงเรื่องหลักๆที่ผมว่าสำคัญกัน
เรื่องแรกที่ผมว่าต้องรู้ให้ได้คือ สรุปบริษัทที่เราสนใจนี้ทำอะไรกันแน่ อ่านให้ได้ใจความสำคัญเช่น
-
ขายอะไรบ้างกันแน่
-
สัดส่วนของสินค้าหรือบริการที่ขายเป็นยังไง
-
ขายให้ใคร ใครเป็นลูกค้าบริษัท
-
ขายอย่างไร ลูกค้ามาซื้อโดยตรงมั้ย หรือขายผ่านคู่ค้า
-
โดยรวมแล้วธุรกิจต่างๆ ทำได้ดีขึ้นหรือแย่ลง
-
ฯลฯ
หลักๆเลย เรื่องนี้คือสิ่งที่ผมต้องเอาให้เข้าใจอย่างแรก รู้ก่อนเลยบริษัททำอะไรขายอะไรนี่แหละครับ แล้วมันจะทำให้เราอยากรู้เรื่องอื่นๆตามมาเอง เช่น สมมติบริษัทขายชุดชั้นใน เราก็จะเริ่มอยากรู้ละว่ายี่ห้อนี้ทำได้ดีมั้ย ส่วนแบ่งการตลาดปัจจุบันเป็นกี่ % เพิ่มขึ้นหรือน้อยลงจากช่วงที่ผ่านมา ฯลฯ
และจากประสบการณ์ผมพบว่า บางบริษัทที่เรานึกว่ารู้จักอยู่แล้ว อาจจะกลายเป็นว่ามีรายได้จากหลากหลายธุรกิจกว่าที่เราคิด เช่น BTS ปกติพูดถึงบริษัทนี้เราก็จะนึกถึงบริษัทที่ได้รับสัมปทานทำรถไฟฟ้าใช่มั้ยครับ แต่รู้หรือไม่ว่า ปี 2558 รายได้จากการดำเนินงานรถไฟฟ้าเป็นสัดส่วนแค่ 39.7% ของรายได้จากการดำเนินงานทั้งหมดครับ ส่วนที่เหลือมาจากบริษัทลูกวีจีไอ โกลบอล มีเดียที่ทำขายสื่อโฆษณาถึง 33.66% พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวรถไฟฟ้าขาย 14.58% และรายได้จากธุรกิจบริการอื่นๆอย่างร้านอาหารและบัตรแรบบิทอีก 12.53%
ลองอ่านดูครับ แล้วจะพบว่าเนื้อหาส่วนนี้น่าสนใจทีเดียว เราจะเห็นภาพบริษัทที่เราสนใจมากขึ้นแน่นอน บางบริษัทอาจจะทำเราแปลกใจเลยแหละ
วิธีคำนวนดอกเบี้ยทบต้น และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
Math 1: The Formula for Compound Interest Rate
สวัสดีครับ หลังจากเราเข้าใจแล้วว่าดอกเบี้ยทบต้นคืออะไร ทีนี้ต่อไปที่ต้องรู้คือแล้วเราจะคำนวนหามันอย่างไร บางคนถามเคยถามผมว่าต้องคำนวนด้วยเหรอ ไม่ต้องรู้ได้มั้ยไม่ชอบสูตรไม่ชอบเลข กดเครื่องคิดเลขเอาได้มั้ย ผมจะบอกว่าคุณใจเย็นๆมันไม่ยากเกินคุณแน่นอน ถ้าคุณคำนวนไม่ได้หรือไม่เข้าใจเรื่องนี้นะ เสียเปรียบโคตร ผมยกตัวอย่างนะครับ
สมมติมีคนสองคนมาขอยืมเงินคุณน่ะ ทั้งสองคนอยากยืมคนละ 1,000,000 บาท แต่คุณมีเงินล้านเดียว คุณจะให้ใคร
คนแรกบอก ถ้าให้เค้ายืมนะ อีก 4 ปี เค้าจะคืนคุณเป็นเงิน 1,356,400 บาท
คนที่สองบอก ถ้าให้เค้ายืมนะ อีก 6 ปี เค้าจะคืนคุณเป็นเงิน 1,500,730 บาท
มึนมั้ยครับ ถ้าไม่มีวิธีเปรียบเทียบมันจะความรู้สึกแบบนี้แหละครับ คุณอาจเผลอไปเลือกคนที่ให้ผลตอบแทนน้อยกว่าก็ได้ สุดท้ายการลงทุนถ้ามันต้องมีหน่วยกลางครับ ซึ่งปกติแล้วคนเค้าจะใช้อัตราดอกเบี้ยทบต้นต่อปีเป็นตัวหลักครับ ต่อไปนี้ผมจะสอนคุณทำเรื่องนี้ วันหลังจะไม่มีใครมาทำคุณงงได้อีก ผมรู้เพราะสมัยเรียนเคยงงมาก่อนครับ
อ่านต่อ »