เนื้อหมูแพง เราควรจะซื้อหุ้น CPF มั้ย ?

เนื้อหมูแพง เราควรจะซื้อหุ้น CPF มั้ย ?

ช่วงนี้เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าราคาเนื้อหมูแพงขึ้นมาก  ก็มีคนถามว่าเวลาแบบนี้ควรซื้อหุ้น CPF มั้ยเพราะเป็นผู้ผลิตเนื้อหมูรายใหญ่สุดน่าจะได้ประโยชน์

คำตอบสำหรับผมคือไม่  สำหรับผมคือเวลาบริษัทอะไรก็แล้วแต่ได้รับประโยชน์บางอย่างทำให้ผลประกอบการดีขึ้นกว่าปกติแบบชั่วคราวไม่ใช่อะไรที่ถาวร  ผมมองว่าเคสแบบนั้นมันไม่ใช่โอกาสครับ  เพราะอะไรที่มันดีแค่ชั่วคราว  ซักพักพอเหตุการณ์นั้นผ่านไปผลประกอบการมันก็จะแย่ลง  และราคาหุ้นก็จะกลับไประดับปกติ  ถ้าเราเห็นว่ามันจะเป็นแบบนั้นแต่แรกเราก็ไม่ควรจะซื้อมันตั้งแต่แรก

อย่างในกรณีเนื้อหมูแพงก็เช่นกัน  มันอาจจะมาจากต้นทุนอาหารหมูแพงขึ้นหรือมาจากโรคระบาดหมูตายก็แล้วแต่  อนาคตผมก็เชื่อว่ามันจะเข้าสู่ระดับสมดุลซักวันไม่ใช่ว่ามันจะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ  ดังนั้นต่อให้ CPF ได้ประโยชน์กำไรดีมากขึ้นจริง  มันก็ไม่ได้ว่าจะดีมากแบบนั้นไปตลอด

ถ้าอยากซื้อเหตุการณ์แบบนี้จริงๆ  ต้องเร็ว  คือต้องมั่นใจว่าบริษัทพวกนี้มันจะได้ประโยชน์แน่ๆแล้วก็เข้าซื้อตั้งแต่ก่อนคนจะเอะใจ  และต้องเข้าใจด้วยว่านี่มันเรื่องชั่วคราวยังไงก็ต้องออกก่อนเรื่องจบ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมผมเลือกลงทุนแบบ Active ไม่ใช่ Passive ?

Why I do active investing? Why not use passive? Isn't it proven that active managers failed?

ทำไมผมเลือกลงทุนแบบ Active ไม่ใช่ Passive ?

มีคนถามว่าทำไมผมถึงเลือกที่จะลงทุนแบบเลือกหุ้นด้วยตัวเองแทนที่จะลงทุนด้วยกองทุนแบบ passive  ทั้งที่มันก็มีสถิติเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่ากองทุน Active ส่วนใหญ่แพ้กองทุน Passive

จริงๆก็เป็นคำถามที่ดี  ผมนั่งนึกนะแล้วก็ได้คำตอบดังนี้

  1. ส่วนตัวเชื่อว่าตลาดไม่ได้ efficient  คือสังเกตเห็นว่ายังมีพลาดแบบแปลกๆและดังนั้นแปลว่าควรจะหาช่องโหว่ได้
  2. มองว่าได้เปรียบกองทุน  เพราะกองทุนโดน pressure วัดผลตอบแทนระยะสั้น  บวกกับขนาดเงินที่ต้องลงทุนมันใหญ่กว่ามาก  ก็เลยทำให้ชนะค่าเฉลี่ยตลาดยาก
  3. การลงทุนแบบ Passive  ถึงจุดหนึ่งมันก็เกินเลยได้เหมือนกันนะ
  4. ผลตอบแทนที่ทำได้ก็ยังชนะตลาดอยู่  แต่โอเคอาจจะเพราะหุ้นที่เลือกซื้อเสี่ยงมากก็ได้นะ  หรืออาจจะจาก known factor อื่นที่ไม่ใช่ alpha ก็ได้

สุดท้ายสรุปคือ  ผมลงทุนแบบ Active เพราะเชื่อว่ามันมีช่องว่างให้ฉวยโอกาสได้และเรามีความสามารถพอที่จะทำได้  ที่ผ่านมาผลลัพธ์ก็ยังบ่งชี้ไปในทิศทางนั้นอยู่นะ  ไว้อนาคตถ้าบริหารกองทุนเงินขนาดใหญ่แล้วเดี๋ยววัดผลมาเล่าให้ฟังอีกที

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ทำไมบางบริษัทอยู่ใน SET บางบริษัทอยู่ใน MAI ?

Difference between SET and mai

ทำไมบางบริษัทอยู่ใน SET บางบริษัทอยู่ใน MAI ?

มีคนถามว่าทำไมหุ้นบางบริษัทถึงอยู่ใน SET บางบริษัทอยู่ใน mai

เหตุผลไม่มีอะไรซับซ้อนครับ  ความแตกต่างเป็นแค่เรื่องขนาดของบริษัท  บริษัทที่ listed ใน mai จะเป็นบริษัทเล็กกว่าที่ listed ใน SET  รายละเอียดไปอ่านในลิ้งค์นี้ https://www.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/common_shares_p1.html

เหตุผลที่มันมีสองตลาดคือมันเริ่มจากว่าตลาดหลักทรัพย์ก็ต้องมีเกณฑ์อะไรซักอย่างที่จะวัดว่าบริษัทไหนสามารถจะระดมทุนสาธารณะได้  ไม่ใช่แบบให้บริษัทอะไรก็ได้เพราะแบบนั้นมันก็มั่วไปหมดผู้ลงทุนก็เดือดร้อน  ตอนแรกสุดก็ตั้งเกณฑ์มาแล้วก็เรียกว่าเป็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET

ภายหลัง  เพื่อสนับสนุนการเติบโตของบริษัทที่ขนาดเล็กมาหน่อยให้มีโอกาสระดมทุนได้  ก็เลยสร้างมาตรฐานเกณฑ์อีกอันขึ้นมาให้มัน list ง่ายขึ้น  เรียกเป็นตลาด mai (market for alternative investment)

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Rebalance พอร์ตกองทุนรวมทำยังไง ?

Rebalance พอร์ตกองทุนรวมทำยังไง ?

มีคนขอให้ทำหัวข้อสอนการ rebalance กองทุนรวม  หัวข้อนี้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนครับ

Rebalance หลักๆคือการปรับให้สัดส่วนของเงินลงทุนในพอร์ตเราทั้งหมดเป็นไปตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ตอนแรกเท่านั้นเอง  สาเหตุที่ต้องทำเพราะเมื่อเวลาผ่านไปสัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตเรามันก็จะเปลี่ยนไปจากตอนแรก

เช่นสมมติเราวางแผนไว้ว่าพอร์ตทั้งหมดเราจะลงทุนในหุ้น 60% และตราสารหนี้ 40% นะ  ในตอนแรกสุดเราก็ซื้อตามนั้นใช่มะ  คือจากเงิน 100 บาท  60 บาทก็เอาไปซื้อหุ้นหรือกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น  ส่วน 40 บาทก็เอาไปลงทุนในตราสารหนี้หรือกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้  ทีนี้พอเวลาผ่านไปสมมติเกิดมีโควิดตลาดหุ้นตกรุนแรงคนหนีจากหุ้นไปลงทุนตราสารหนี้แทน  พอร์ตเราส่วนที่เป็นหุ้นมูลค่าเหลือ 50 บาทตราสารหนี้เรามูลค่าเพิ่มเป็น 44 บาท  มูลค่าทั้งพอร์ตรวมกันกลายเป็น 94 บาทละ  สัดส่วนของหุ้นลดลงเหลือ 50/94 = 53.19% ของทั้งพอร์ต  ส่วนตราสารหนี้กลายเป็น 44/94 = 46.81% ของทั้งพอร์ต  เคลื่อนจาก 60/40 ที่ตั้งใจไว้เยอะละ  ก็เลยเป็นเหตุผลที่เรามีการทำการ Rebalance ครับ

ประโยชน์ของการทำ Rebalance หลักๆก็คือให้พอร์ตมันกลับมามีสัดส่วนตามแผนที่วางไว้  มีระดับความเสี่ยงความผันผวนและผลตอบแทนคาดหวังตามที่เหมาะสมกับเรา

วิธีการลงมือทำก็ง่ายมาก  เราขายสินทรัพย์ที่มันสัดส่วนเกินมาซื้อสินทรัพย์ที่สัดส่วนขาดอยู่เท่านั้นเอง

ทีนี้คำถามที่คนมักจะถามคือ  Rebalance ต้องทำเมื่อไหร่หรือบ่อยแค่ไหน  จริงๆอันนี้ก็แล้วแต่นโยบายเรานะ  ถ้าถามผมคือเอาที่มันไม่ต้องบ่อยจนเกินไป  การทำ Rebalance บ่อยไปมันเปลืองมีค่าใช้จ่ายค่าธรรมเนียม  วิธีทั่วไปที่เค้าทำกันก็จะมี

  • อิงระยะเวลา  เช่น Rebalance ปีละครั้ง  ครึ่งปีครั้ง  หรือทุกไตรมาส
  • อิงเกณฑ์  คือ Rebalance เมื่อสัดส่วนของทรัพย์สินในพอร์ตหลุดจากเป้าที่วางไว้เกินเท่าไหร่ๆ  เช่นสมมติเราตั้งไว้ว่าพอร์ตเราจะ 60/40 เราจะ Rebalance เมื่อมันหลุดไปบวกลบ 5  นั่นหมายความว่าถ้าไม่หลุดไปเกิน 55/45 หรือ 65/35  เราก็จะยังไม่ Rebalance  และเราจะ Rebalance เมื่อมันหลุดขอบไปเท่านั้น
  • หรืออาจจะอิงทั้งเวลาและเกณฑ์
  • อื่นๆ

ส่วนตัวผมว่าทำปีละครั้งพอ  แล้วก็อาจจะตั้งเกณฑ์ไว้ด้วยถ้าเคลื่อนออกไปไม่เยอะก็ไม่ต้องทำ

กับเรื่องสุดท้ายที่ควรพิจารณาคือนอกเหนือจากการ Rebalance แล้ว  อาจจะต้องดูเป็นระยะว่าเป้าหมายสัดส่วนสินทรัพย์ที่เราตั้งไว้ยังเหมาะสมอยู่มั้ย  เช่น 60/40 ที่คิดไว้ตอนแรกนั่นยังเหมาะสมอยู่มั้ย  ควรเพิ่มหุ้นหรือลดหุ้นหรือเปล่า  หรือควรมีสินทรัพย์อื่นปนเข้าไปเพิ่มมั้ย  อันนี้พิจารณาประกอบกับสถานการณ์ของเราครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

กระแส Metaverse น่าสนใจมั้ย หุ้นกลุ่มนี้มีหุ้นอะไรบ้าง ?

Metaverse

กระแส Metaverse น่าสนใจมั้ย หุ้นกลุ่มนี้มีหุ้นอะไรบ้าง ?

ชื่อนี้ดังขึ้นมาเพราะ Mark Zuckerberg เลย  ตอนประกาศเปลี่ยนชื่อ Facebook เป็น Meta Platforms เค้าบอกอยู่ว่าเค้าเชื่อว่าในไม่กี่ปี metaverse มันจะมาแทน mobile internet ณ ปัจจุบัน  ตนจะไปมี social interaction บนนั้นแทน  ผมเห็นบริษัทเค้ามีทำ Oculus กล้อง VR อยู่เข้าใจว่าเค้าจินตนาการถึงโลกเสมือน 3D ที่ให้คนไปทำกิจกรรมร่วมกันได้โดยที่ตัวจริงๆไม่ได้ต้องมาอยู่ในสถานที่เดียวกัน  

Bloomberg Intelligence ก็มีทำนายว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Metaverse จะเติบโตมีมูลค่า $800 billion ในปี 2024  เทียบกับ $500 billion ในปี 2020  หรือคิดเป็นการเติบโตปีละ 12.5% ทีเดียว  เค้ามองว่าการเติบโตหลักจะมาจากอุตสาหกรรมเกมกับอุปกรณ์เล่นเกมที่เกี่ยวข้อง  ที่เหลือจะเป็นพวก social media กับกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ

โดยส่วนตัวผมว่า interaction แบบเดิมที่มีอยู่แล้วอย่างเกมออนไลน์หรือพวกประชุมออนไลน์ก็จะเป็นที่นิยมต่อไปแน่ๆ  ตรงสองส่วนนี้น่าจะโต  ส่วนเรื่องอื่นเช่นไปเจอหน้าเพื่อนหรือไปเที่ยวทำกิจกรรมหรือเดินซื้อของบน VR ตอนนี้ดูยังไกลอยู่  ซักวันนึงถ้ามันเหมือนจริงมากปลอดภัยมากมันก็จะมาซักวันนะผมว่า  แต่รู้สึกตอนนี้เท่าที่เห็นยังห่างมาก  ดังนั้นในการลงทุนถ้าเราจะเริ่มลงทุนที่เกี่ยวกับเทรนด์นี้ผมคิดว่าเริ่มจากพวกที่เกี่ยวข้องและทำได้ดีอยู่แล้วมีกำไรอยู่แล้วเช่น Nvidia, Meta Platforms พวกนี้ไปก่อนดีกว่า  พวกกลุ่มที่สินค้ายังอยู่ในระหว่างการพัฒนาหรือตอนนี้ยังไม่มีกำไรผมว่ารอก่อนก็ได้  รอให้มันพิสูจน์โมเดลธุรกิจแล้วเริ่มมีกำไรค่อยไปซื้อยังทัน  

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

มีวิธีประเมินมูลค่าบริษัทที่เราไม่เชื่องบการเงินมั้ย ?

How do you do valuation when you do not trust the accounting statements?

มีวิธีประเมินมูลค่าบริษัทที่เราไม่เชื่องบการเงินมั้ย ?

เอาจริงๆผมไม่คิดว่าเป็นไปได้นะ  ในการทำ valuation ใดๆมันต้องมี input ข้อมูลจากบริษัทบ้าง  ถ้าเราบอกเราไม่สามารถเชื่อตัวเลขที่อยู่บนงบการเงินได้เลยนี่ยากละ  อย่างมากสุดที่เราทำได้คือระวังเป็นพิเศษและอาจจะทำการปรับตัวเลขบางส่วนที่เราสงสัยว่ามันเว่อร์ไปหรือน้อยไปกว่าความเป็นจริง  แต่ทั้งนี้ตัวมูลค่าที่เราคำนวณออกมาได้มันจะขึ้นอยู่กับอารมณ์เรามากเข้าไปใหญ่  ซึ่งโดยปกติแล้วก็ไม่แนะนำให้ทำครับ

โดยส่วนตัวผมว่านะ  ถ้าเราไม่ไว้ใจบริษัทว่าธุรกิจมันทำได้ดีและคิดว่ายังไงมันโกหกแน่ตัวเลขบนงบการเงินเพี้ยนไปเยอะแน่ๆ  อย่างนั้นเราอาจจะสมควรลงทุนในบริษัทอื่นนะ  คงไม่ต้องไปพยายามประเมินมูลค่ามันก็ได้มั้ง

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

สังคมผู้สูงอายุจะมา หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจบ้าง ?

What to invest in to profit from aging society trend?

สังคมผู้สูงอายุจะมา หุ้นกลุ่มไหนน่าสนใจบ้าง ?

มีนักเรียนถามเกี่ยวกับการลงทุนในกระแสสังคมผู้สูงอายุว่าลงทุนในอะไรดี  แว่นตาดีมั้ย

ส่วนตัวผมว่าแว่นตานี่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เฉพาะสำหรับผู้สูงอายุละนะ  เด็กจำนวนมากใช้มือถือดูหน้าจอแต่เด็กและคนจำนวนมากใส่แว่นตั้งแต่เด็ก  ดังนั้นผมก็ไม่คิดว่าแว่นมันจะบูมขึ้นมาหรืออะไรจากการที่มีประชากรสูงอายุเยอะขึ้นนะ

เท่าที่เคยเห็นจากประเทศอื่นที่เค้าคนสูงอายุเยอะไปก่อนเรา  สิ่งที่สังเกตได้คือดังนี้

  • บริษัทที่เป็น operator  ทำบ้านพักคนชรา  อันนี้ที่เห็นคือไม่ค่อยเวิร์ค  อย่างในญี่ปุ่นนี่ผมก็ไปดูนะแล้วก็พบว่ามันไม่ค่อยจะกำไรกัน  เข้าใจว่าธุรกิจนี้มันการแข่งขันสูงเพราะคนทำได้หลายเจ้า  และการดูแลผู้สูงอายุก็ไม่ใช่อะไรที่ต้นทุนต่ำ

  • บริษัทที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แล้วให้ operator เช่าทำบ้านพักคนชราหรือสถานที่พยาบาลผู้ปวยสูงอายุ  พวกนี้ก็ดูจะทำได้เสถียรกว่า  หลักๆแล้วคิดว่าเพราะมันแค่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้แบกรับความเสี่ยงในการดำเนินงานอะไรเท่าไหร่  กลุ่มนี้เจอเยอะใน US เช่นกัน  ตัวอย่างบริษัทในกลุ่มนี้เช่น Welltower, Ventas, Omega Healthcare, Healthcare & Medical Investment
  • บริษัทที่ทำพวก Home health บริการดูแลสุขภาพผู้ป่วยที่บ้าน  อันนี้ดูเหมือนจะทำได้ดี  เคยเห็นใน US แล้วก็พบว่ามันทำได้ดีอยู่นะ  ไม่แน่ใจว่าทำไมอย่างชัดเจน  ตัวอย่างบริษัทในกลุ่มนี้เช่น Encompass Health, LHC Group
  • บริษัทที่ทำเครื่องมือแพทย์หรืออุปกรณ์ที่มักใช้ในผู้ป่วยสูงอายุ  เช่นเครื่องฟอกไต  หรือลิ้นหัวใจเทียมหรือเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ในโรคกระดูกข้อ  เครื่องวัดความดัน, น้ำตาลในเลือด  พวกนี้โดยรวมทำได้ดีมากอยู่  แต่ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวกับผู้สูงอายุหรือเปล่าหรือแค่มันดีอยู่แล้ว  ตัวอย่างบริษัทในกลุ่มนี้ก็เช่น Nipro, Fresenius Medical Care, Stryker, Edwards Lifesciences, Omron, Dexcom, etc. 
  • โรงพยาบาล  พวกนี้อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับผู้สูงอายุโดยตรงเท่าไหร่  แต่มันก็ทำได้ดีในหลายที่นะ  ทั้งไทยนี่เราเห็นอยู่แล้ว  ใน US ก็มีกลุ่มโรงพยาบาลที่ทำได้ดี

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

หุ้นจ่ายปันผลน้อยลง เป็นสัญญาณของปัญหาหรือเปล่า ?

Is it a negative sign for a company when it reduces its dividends, even when it is still relatively high/good dividends?

หุ้นจ่ายปันผลน้อยลง เป็นสัญญาณของปัญหาหรือเปล่า ?

โดยส่วนใหญ่ก็ใช่ครับมักจะเป็นเพราะบริษัทเจอปัญหาอะไรการดำเนินงานอะไรซักอย่าง  ถ้าเป็นการลดปันผลจากระดับปกติที่เคยจ่ายเป็นปกตินะ  ไม่ใช่แบบลดจากปีที่แล้วเพราะปีที่แล้วจ่ายปันผลพิเศษ

สาเหตุทั่วไปที่จ่ายปันผลน้อยลง  อยากให้นึกภาพว่าปกติบริษัทก็จ่ายปันผลจากกำไรที่ทำได้ถูกมะ  ถ้าสมมติจากเดิมที่จ่ายปันผลได้สม่ำเสมออยู่มาวันนึงลดปันผลลง  ถึงแม้ว่าลดลงไปจะยังเป็นปันผลที่ดีอยู่แต่มันก็แสดงว่ามันต้องมีเรื่องอะไรซักอย่างที่ทำให้จ่ายปันผลจากกำไรได้ลดลงใช่มะ  กรณีส่วนใหญ่ก็จะมาจากว่ากำไรลดลงก็เลยไม่สามารถจ่ายเท่าเดิมได้นั่นแหละ  บางทีมันก็มาจากว่ากำไรลดลงเยอะอย่างเช่นบริษัทเจอผลกระทบจากโควิดอะไรงี้  หรือไม่ก็ลดลงแบบถาวรก็เลยจำเป็นต้องลดปันผลไปด้วย  สิ่งที่นักลงทุนเค้ากลัวกันจริงๆก็คือกลัวว่ามีปัญหาระยะยาวอะไรหรือเปล่านี่แหละ

นอกเหนือจากนั้นก็อาจจะมีสาเหตุอื่นอีกที่บริษัทจ่ายปันผลน้อยลงเช่น  ช่วงนี้มีโครงการที่บริษัทอยากจะไปลงทุนเพิ่มก็เลยลดการจ่ายปันผล

สรุปแล้วคือส่วนใหญ่ใช่  แต่ไม่เสมอไป  เราสมควรดูในรายละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้น  บางทีมันก็ไม่ได้เป็นอะไรเลวร้ายนะ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

ควรมีเงินสดอยู่เป็นกี่ % ของพอร์ตดี ?

ควรมีเงินสดอยู่เป็นกี่ % ของพอร์ตดี ?

อันนี้เราพูดถึงเงินสดในพอร์ตการลงทุนนะ  ไม่เกี่ยวกันกับเงินสำรองฉุกเฉินกับพวกที่ต้องใช้จ่ายรายเดือน  เรากำลังพูดถึงส่วนของเงินลงทุนที่ลงทุนไว้ยาวได้ไม่ใช่แบบแปปๆต้องถอนไปทำอย่างอื่นนะ  เงินสดนี่ควรจะมีให้น้อย  น้อยที่ว่านี่คือขนาดไหนส่วนตัวผมว่ายังไงก็ไม่น่าจะเกิน 5% ของพอร์ตนะ

ไอเดียของการมีเงินสดอยู่ในพอร์ตคือเผื่อไว้ใช้เป็นกระสุนเวลาที่ตลาดตกเยอะหรือเห็นโอกาสจะได้ซื้อเพิ่มได้  ซึ่งในคอนเซปต์มันก็ดีนะแต่เอาจริงไม่ค่อยดีเท่าไหร่เพราะ

  1. รอโอกาสนี่ไม่รู้นานแค่ไหน
  2. รอโอกาสด้วยอย่างอื่นที่ไม่ใช่เงินสดก็ได้  ถือกองทุนตราสารหนี้ก่อนก็ได้ถ้ารู้สึกกังวลมาก  หรือถือหุ้นที่ธุรกิจนิ่งมากโตช้าหน่อยก็ได้

หลักๆแล้วเป็นเพราะเงินสดหรือเงินฝากนี่ผลตอบแทนมันต่ำมาก  ดังนั้นการมีเงินสดหรือเงินฝากอยู่เยอะไปก็เลยเป็นสิ่งที่ถ่วงผลตอบแทนของพอร์ต  เพื่อให้เห็นภาพเรายกตัวอย่าง

สมมติสถานการณ์ดอกเบี้ยเงินฝากแบบออมทรัพย์ผลตอบแทนระยะยาวเฉลี่ย 0.5%  ส่วนผลตอบแทนของหุ้นระยะยาวเฉลี่ย 7%  เคสแรกลงทุนแบบ 15% อยู่ในเงินสด  กับเคสที่สองลงทุนแบบ 5% อยู่ในเงินสด  สิ่งที่เกิดขึ้นคือผลตอบแทนเฉลี่ยของแบบแรกจะเป็น 6.025% ต่อปี  ส่วนแบบที่สองผลตอบแทนเฉลี่ยจะเป็น 6.675% ต่อปี  ซึ่งก็ดูต่างกันไม่เยอะต่างกันยังไม่ถึง 1% ต่อปีเนาะ  แต่ความแตกต่างอันนี้มันเยอะเหมือนกันนะถ้าลงทุนแบบนี้ต่อเนื่องกันหลายปี  ถ้าสมมติเราเริ่มลงทุนด้วยเงิน 100 บาทเท่ากัน 20 ปีผ่านไปเคสที่เงินสดน้อยเงิน 100 บาทจะกลายเป็น 364 บาท  ส่วนเคสที่เงินสดเยอะจาก 100 บาทกลายเป็น 322 บาท  ต่างกันเยอะอยู่นะ

สรุปคือ  ในพอร์ตการลงทุนเราควรถือเงินสดให้น้อยที่สุดที่เป็นไปได้ครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี

Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย แปลว่าตลาดหุ้นจะต้องตกจริงเหรอ ?

Our take on Fed rate hike

Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย แปลว่าตลาดหุ้นจะต้องตกจริงเหรอ ?

มีคนถามเรื่อง Fed จะเริ่มหยุดอัดฉีดสภาพคล่องและเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น  จะมีผลอะไรมั้ยต้องทำอะไรหรือเปล่า

เรื่อง Fed นี่ส่วนตัวผมไม่รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร  ไม่มีความจำเป็นที่เราต้องกังวลหรือใส่ใจอะไรทั้งสิ้น  ปล่อยให้คนอื่นในตลาดมันบ้ากันไปครับ

ประเด็นแรกเลยคือสิ่งที่เค้าทำก็คิดว่าถูกต้องแล้วเพราะเศรษฐกิจก็เริ่มฟื้นมาเยอะแล้ว  ดังจะเห็นได้จากการที่อัตราการว่างงานเริ่มต่ำลงไปอยู่ใกล้ระดับเดิมก่อนเกิดโควิดละ  การกระตุ้นเศรษฐกิจมากจนเกินระดับที่ศักยภาพของปัจจัยในประเทศจะรองรับได้ก็จะไปทำให้เกิดเงินเฟ้อเยอะขึ้นไป

เงินเฟ้อโดยรวมผมก็มองว่าชั่วคราวอยู่ดี  ช่วงที่ผ่านมาที่ความต้องการสินค้าบริการและแรงงานกระชากขึ่นพรวดจากตอนที่เปิดเศรษฐกิจกลับมา  อุปทานมันก็ไม่ทันและระดับราคามันต้องสูงขึ้นอยู่แล้ว  มันต้องใช้เวลาปรับตัวซักพัก  ในเวลานี้แรงงานก็เริ่มกลับเข้ามาทำงานละ  การผลิตสินค้าและบริการก็ควรจะสูงขึ้นและตราบใดที่เค้าไม่กระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องยาวเกินไปเงินเฟ้อก็ไม่ควรจะเป็นปัญหาอะไร

การรักษาเสถียรภาพให้ระบบเศรษฐกิจเติบโตแบบปกติก็ควรจะเป็นผลดีกับตลาดหุ้น

ส่วนประเด็นเรื่องผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยตรง  ในระยะสั้นๆตอนปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจมีผลกับตลาดหุ้นบ้างแต่ชั่วคราวมาก  ภาพรวมแล้วไม่มีผลอะไร  ดูจากสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตก็ได้

ช่วงหลังปีวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008  Fed ลดอัตราดอกเบี้ยไปต่ำมากเท่าๆกับตอนนี้และเริ่มปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตอนปลายปี 2015  และมีการทยอยปรับขึ้นเรื่อยๆไปจนถึงปี 2019

ดูภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงเดียวกัน  จะเห็นว่ามันไม่ได้มีผลอะไรอย่างมีนัยสำคัญ  ภาพระยะยาวตลาดเป็นขาขึ้นชัดๆทั้งที่มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงเดียวกัน  ตลาดหุ้นที่เห็นตกตอนปลายปี 2018 นั่นก็มาจากความกังวลเรื่อง Trade war  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับอัตราดอกเบี้ย

สิ่งที่อยากให้เข้าใจคือตัวผลประกอบการของบริษัทซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับสภาพเศรษฐกิจมีผลต่อราคาหุ้นมากกว่าอัตราดอกเบี้ยแน่ๆ  ดังนั้นสรุปคือผมไม่อยากให้ไปตกใจอะไรกับมันมากครับ

 

ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ

หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂

ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/

หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg

ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/

หรือ ทดลองเรียนฟรี