เล่าประสบการณ์ลงทุนหุ้น กำไรเป็นแสน เป็นล้าน (ภาค 2)
หลังจากช่วง PB กับ KCAR มาก็เป็นช่วงที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศแล้วแหละ จริงๆเริ่มลงทุนหุ้นต่างประเทศตอนปี 2015 แต่ช่วงนั้นจำนวนเงินไม่เยอะ เคสแรกที่เริ่มซื้อเป็นเงินก้อนใหญ่ก็จะเป็น Express Scripts ในปี 2017 บริษัทนี้อยู่ในธุรกิจ Healthcare เป็น Pharmacy Benefit Manager เจ้าใหญ่ที่สุด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ Trump กำลังพยายามจัดการกับปัญหาค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพในอเมริกาแพง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กลุ่ม PBM ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ถูกเพ่งเล็ง แต่เมื่อไปศึกษาดูผมก็ว่า PBM ไม่น่าจะเป็นต้นเหตุของค่าใช้จ่ายเรื่องยาแพง Profit margin บริษัทกลุ่มนี้ก็บางมาก 1% อยู่แล้ว บวกกับโดยรวมมันเป็นธุรกิจที่ได้เปรียบจาก cost advantage ดังนั้นขนาดของ Express Scripts ก็ทำให้มันได้เปรียบผลประกอบการดีมาตลอด ผมซื้อที่ราคาเฉลี่ย 63.31 USD โดยรวมเป็นเงิน 1.7 ล้านบาท ขายไปเพราะโดยบังคับขายในปลายปี 2018 ที่ราคา 88.53 USD บริษัทถูก Cigna ซื้อแล้วผมไม่ได้อยากถือหุ้น Cigna คิดเป็นกำไรประมาณ 39.84%
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่ลงทุนจำนวนเยอะก็จะเป็นช่วงปี 2017 ในเวลานั้นมันจะมีกระแสความตกใจว่าร้านค้าปลีกแบบมีหน้าร้านจะเจ๊ง จะโดนการขายออนไลน์อย่าง Amazon เข้ามาแทนที่ สองบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่ราคาตกเยอะแล้วผมไปซื้อก็จะมี Tractor Supply กับ AutoZone Tractor Supply นี่เป็นร้านค้าปลีกที่ขายสินค้าไลฟ์สไตล์ชนบท ร้านค้าตั้งอยู่ในพื้นที่ชนบทที่คนทำฟาร์ม ส่วน AutoZone ทำร้านขายอะไหล่รถยนต์สำหรับให้คนซื้อไปซ่อมรถด้วยตัวเอง DIY ในร้านแนว DIY ก็จะเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดละ สาเหตุที่ตัดสินใจซื้อก็ตรงไปตรงมา คือหลังจากพิจารณาทำความเข้าใจธุรกิจที่บริษัททำกับพยายามหาหลักฐานว่ามันได้รับผลกกระทบจากออนไลน์มั้ย สิ่งที่เจอก็คือสองบริษัทนี้ดูไม่เห็นกระทบตรงไหน ยอดขายสาขาเดิมก็โตทั้งคู่ อย่าง Tractor Supply นี่เค้าบอกว่าลูกค้าส่วนใหญ่ขนาดว่ามีตัวเลือกซื้อออนไลน์แล้วไปส่งถึงบ้านก็ไม่เอา อยากจะมาที่สาขามาหยิบสินค้าเองมากกว่า ส่วน AutoZone ก็ได้เปรียบตรงที่สินค้าลูกค้าซื้อแล้วเอาไปใช้ได้ทันที ไม่ต้องรอของมาส่ง แล้วลักษณะลูกค้าคือรีบเพราะมีอะไรซักอย่างในรถเสีย ผมซื้อ Tractor Supply ที่ราคาเฉลี่ย 54.56 USD เป็นเงินประมาณ 1.3 ล้านบาท ขายตอนปลายปี 2018 ที่ราคาเฉลี่ย 90.18 USD กำไร 65.29% ส่วน AutoZone ซื้อเฉลี่ย 559.32 USD ด้วยเงินประมาณ 1.5 ล้านบาท ขายไปตอนต้นปี 2019 ที่ราคา 1,000 USD คิดเป็นกำไร 78.79%
หลังจากนั้นมาเคสที่ใหญ่ๆก็เป็นช่วง COVID ทั้งหมด กำไรเละ รูปแบบเดิมเป๊ะก็คือหาบริษัทที่ก่อนโควิดทำได้ดีบวกราคาตกเยอะๆแล้วน่าจะรอดจากโควิดไม่ว่าจะด้วยไม่ขาดทุนหรือมีเงินทุนมากพอ บริษัทที่ซื้อก็พวกที่โดนผลกระทบเช่นห้าง, ร้านอาหาร, หอพักนักศึกษา, สนามบิน, รถเมล์รถนักเรียน, ฯลฯ
สรุปสิ่งที่ผมว่าเป็นสาระสำคัญข้อคิดที่คุณควรจะได้ไปคือ
- ทุกเคสที่กำไร ทรงเดียวกันหมด คือผมหาบริษัทที่ดีมีอำนาจมีความได้เปรียบ แล้วก็ซื้อมันตอนที่่ราคามันตกรุนแรงจากเหตุที่เป็นปัญหาชั่วคราว
- ผมแทบไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับการประเมินมูลค่า ผมสนใจตัวบริษัทตัวธุรกิจเป็นหลัก ทำ valuation เอาไว้กะหยาบๆเท่านั้น เรื่องนี้พูดแล้วพูดอีกในหลายวีดิโอ
- บริษัทพวกนี้ผมต้องรู้จักอยู่ก่อนแล้ว ไม่งั้นตอนราคามันตก เราจะไปรู้ได้ในเมื่อก็ไม่รู้จักมันตั้งแต่แรก สำหรับนักเรียนเราผมก็ย้ำเสมอว่าให้มองกว้างๆหาธุรกิจที่เรามีความสนใจ ดูคร่าวๆว่าคอนเซปต์มันดูเข้าท่าแล้วก็ทำ Alert list ไว้เยอะๆก่อน ถึงเวลาถ้าราคามันตกลงมาเราจะได้กลับไปดู
ฟังแล้วเป็นยังไงบ้าง Comment ได้เลยนะครับ
หากชอบเนื้อหา อย่าลืมกด Like & Share และ Follow เราในช่องทางต่างๆ ได้ตามนี้ 🙂
ติดตามพวกเราได้บน Facebook https://www.facebook.com/smartstockinvestment/
หรือทาง YouTube https://www.youtube.com/channel/UCXXwuZIQdWiS1OIzy0uP1fg
ตอนนี้เรามีคอร์ส Workshop ออนไลน์แล้วด้วยนะ
https://www.adisonc.com/
หรือ ทดลองเรียนฟรี