แน่นอนเรื่องที่ผมเน้นที่สุดคือเราต้องเข้าใจปัจจัยเรื่องมูลค่าของบริษัท แต่วันนี้เราเปลี่ยนเรื่องคุยมาพูดถึงจิตวิทยาตลาดกัน เรื่องนี้มันเป็นอะไรที่จับต้องได้ยาก แต่เป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนในตลาด ซึ่งรวมถึงเราด้วย และหลายครั้งเพราะจิตวิทยานี่แหละที่ทำให้เราตัดสินใจตรงข้ามกับที่ควรจะทำ ดังนั้นอย่างน้อยเพื่อป้องกันตัวเองเราต้องเข้าใจจิตวิทยาตลาด ดีกว่านั้นคือเราเข้าใจจิตวิทยาของตลาดแล้วใช้มันให้เป็นประโยชน์
ขอให้เข้าใจว่าในระยะยาวแล้วราคาหุ้นขึ้นอยู่กับผลประกอบการของตัวกิจการแน่นอน แต่ในช่วงสั้นแล้วปัจจัยที่มีผลหลักเลยคือจิตวิทยา
ในช่วงสั้นปัจจัยด้านจิตวิทยาเป็นอะไรที่มีผลพฤติกรรมนักลงทุนเยอะมาก บางทีคนก็จะขายให้ได้ไม่สนใจว่าราคาจะตกแค่ไหน หรือบางทีคนก็จะซื้อให้ได้โดยไม่สนใจราคาเลยเหมือนกัน เชื่อผมเถอะครับ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าฉวยโอกาสซื้อของจากคนที่ยังไงจะขายให้ได้ตอนจังหวะที่เค้ายอมขายทุกราคา และกลับกันสิ่งที่เลวร้ายสุดเลยคือตัวเราเองอยู่ในสถานการณ์โดนบังคับให้ต้องขาย หรือขาดสติจะต้องขายให้ได้
สิ่งที่ตรงข้ามกับการลงทุนสายพื้นฐานคือ การซื้อขายตามๆกันแบบขาดสติโดยที่ไม่สนใจราคาหรือมูลค่าเลย ส่วนใหญ่ความบ้าแบบนี้มักจะเริ่มต้นจากเรื่องจริง เป็นไปได้ทั้งดีใจเกินหรือตกใจเกิน ผมยกตัวอย่างความบ้าไปทางดีใจเกินเหตุ เช่น
- อินเตอร์เน็ทจะเปลี่ยนแปลงโลก
- คนจะย้ายมาอยู่ตามคอนโดใกล้แนวรถไฟฟ้ามากขึ้น
นักลงทุนที่ฉลาดบางคนเห็นแนวโน้มพวกนี้ก่อน เข้าไปลงทุนแล้วก็เริ่มมีกำไร ซักพักคนอื่นก็เริ่มนึกได้ตามหรือไม่ก็เริ่มเห็นพวกกลุ่มแรกได้กำไรก็เลยเข้ามาซื้อตาม ทำให้ราคาตลาดของสินทรัพย์พวกนี้สูงขึ้น แล้วยิ่งราคาสูงขึ้นนักลงทุนก็ยิ่งตื่นเต้นกับการทำกำไร ส่วนเรื่องว่าราคานี้เหมาะสมหรือไม่ก็จะถูกมองข้ามไป ซึ่งมันเป็นอะไรที่บ้ามาก เพราะจริงๆแล้วยิ่งของแพงขึ้นปกติคนน่าจะชอบมันน้อยลง แต่ในการลงทุนไม่ใช่
คนจะบ้าอะไรเป็นช่วงๆ อย่างยุคนึงก็บ้าเรื่องอสังหาฯ ทุกอย่างมองมุมดีไปหมด ราคาปรับตามเงินเฟ้อ, ดอกเบี้ยเงินกู้ใช้ลดหย่อนภาษีได้, ราคาอสังหาฯมีแต่จะสูงขึ้น, ฯลฯ จริงบ้างไม่จริงบ้าง แล้วสุดท้ายก็ฟองสบู่แตก
ที่คนไม่สนใจว่าซื้อมาราคาแพงเว่อร์เกินไปหรือเปล่า เพราะมั่นใจว่าจะมีคนบ้ามายอมซื้อต่อจากตัวเอง ปัญหาคือไอเดียแบบนี้มันไปถึงจุดนึงมันจะไม่ได้ผล จำไว้ว่า
- ปัจจัยบวกทั้งหลายอาจเป็นเรื่องจริง แต่เราก็จะยังขาดทุนได้ถ้าซื้อมาแพงเกินไป
- ปัจจัยบวก รวมกับว่าเห็นตัวอย่างคนอื่นมากมายที่ทำกำไร อาจจะทำให้เราขาดสติเผลอเข้าไปซื้อได้
- จุดสูงสุดของความบ้า มันจะมาตอนคนบ้าที่สุดคนสุดท้ายซื้อทรัพย์สินนั้นแล้วไม่เหลือใครบ้ากว่ามาซื้อต่อ ซึ่งเกิดขึ้นตรงไหนก็ได้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน
- “ราคาแพงเว่อร์เกินไป” ไม่ได้แปลว่า “ต่อไปราคาจะตกแน่นอน” ความบ้าของตลาดทำให้ราคาแพงเว่อร์ได้ และทำให้มันอยู่ได้นานมากด้วย หรือบางทีอาจจะแพงเว่อร์ขึ้นไปอีกก็ได้
- แต่สุดท้ายวันหนึ่ง คนก็จะได้สติ และมูลค่าที่แท้จริงของมันก็จะแสดงผล
ข้อสังเกตเวลาตลาดเริ่มบ้า คือเวลาที่ “หุ้นหรือทรัพย์สินนี้น่าซื้อ” กลายเป็น “หุ้นหรือทรัพย์สินนี้ซื้อที่ราคาเท่าไหร่ก็ได้” คนมักจะพูดประมาณว่า “ตอนนี้ราคาไม่ถูกละ แต่ … (ราคาน่าจะสูงขึ้นได้อีก/บริษัทอนาคตจะเติบโตไปได้อีก)” หรืออะไรประมาณนี้ ซึ่งหลักๆแล้วก็คือคนรู้แหละว่าราคามันแพงมากแล้ว แต่ก็ยังหวังว่าจะแพงขึ้นไปได้อีก ตรงนี้แหละครับคือข้อสังเกตว่าคนเริ่มบ้าละ คนเริ่มสนใจแต่ราคาหุ้นโดยไม่สนใจตัวกิจการ ความโลภเข้ามาเหนือความระมัดระวัง
เคล็ดลับคือเราต้องควบคุมสภาวะจิตเรา แล้วมองสภาวะจิตของคนในตลาดให้ออก การลงทุนที่เสี่ยงขาดทุนที่สุดคือไปซื้อตอนความนิยมพุ่งขึ้นสูงสุด ตรงจุดนั้นทุกอย่างทั้งปัจจัยบวกของจริงและทัศนคติที่ดีหนุนราคาหุ้นขึ้นไปสูงที่สุดแล้วจนยากที่จะหาคนบ้ากว่ามาซื้อต่อละ
ดังนั้นการลงทุนที่ปลอดภัยที่สุดและมีแนวโน้มจะกำไรดีที่สุดก็คือ ต้องไปหาหุ้นกิจการดีตัวที่ไม่มีใครชอบหรือสนใจ หรือดีกว่านั้นคือหากิจการดีตัวที่คนตกใจวิ่งหนีเลย เพราะเดี๋ยวพอเวลาผ่านไป นอกจากเราจะกำไรจากกิจการที่ทำได้ดีขึ้นแล้ว เราจะกำไรจากการที่คนแห่กันมานิยมมากขึ้นด้วย แล้วถึงเวลานั้นเราจะกำไรเว่อร์เลยแหละ
จงอาศัยความบ้าของตลาดให้เป็นประโยชน์ แล้วอย่าเผลอไปบ้ากับเค้าด้วย