As of April 22, 2018 ราคาหุ้นอยู่ $60.36
Stericycle ธุรกิจเค้าไม่ธรรมดาครับ บริษัทนี้จัดการขยะทางการแพทย์และขยะอันตราย เป็นบริษัทหนึ่งที่ผมว่าพื้นฐานตัวธุรกิจดีเยี่ยมและที่ผ่านมาราคาหุ้นแพงมากจนไม่น่าสนใจ เพิ่งเร็วๆนี้ที่ราคาตกลงมารุนแรง ผมเลยเริ่มจับตามองละครับ
ลักษณะธุรกิจ
บริษัท Stericycle แต่แรกเริ่มก่อตั้งปี 1989 คือให้บริการจัดการขยะทางการแพทย์ ขยะทางการแพทย์นึกถึงพวกเข็มฉีดยา, ถุงมือหมอ, ขยะที่อาจมีเชื้อโรคอะไรพวกนั้น บริษัทนี้ทำการเก็บขยะจากลูกค้าซึ่งอาจจะเป็นโรงพยาบาล, คลีนิค, ร้านหมอฟัน, ฯลฯ แล้วนำไปกำจัดจะด้วยการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนแรงดันสูงแล้วเอากลับมาใช้หรือเผาแล้วเอาไปฝังก็แล้วแต่
ปัจจุบัน Stericycle ขยายตัวขึ้นมาใหญ่มาก และลักษณะธุรกิจก็ขยายจากเฉพาะขยะทางการแพทย์มารวมพวกขยะอันตรายและขยะที่ถูกกฎหมายควบคุมต่างๆ และยังมีบริการเสริมอื่นด้วย ธุรกิจที่ทำมีประมาณนี้
- จัดการขยะทางการแพทย์
- จัดการขยะจากอุตสาหกรรมยา
- จัดการขยะโรงงานอุตสาหกรรม
- จัดการขยะข้อมูล (ทั้งกระดาษเอกสารและฮาร์ดดิสค์คอมพิวเตอร์)
- บริการให้คำปรึกษาเรื่องการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม
- บริการเก็บเรียกคืนสินค้า
บริษัทนี้ทำธุรกิจอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก แต่ธุรกิจที่เป็นสาระสำคัญก็จะเป็นทวีปอเมริกาเหนือเป็นหลักคือ อเมริกากับแคนาดา
แล้วที่ผ่านมาเป็นไง
ในช่วง 10 ปีที่ผ่าน บริษัทนี้ก็ทำได้ดีมาโดยตลอดจนมาระยะปี 2015 – ปัจจุบันที่เริ่มมีปัญหาการจัดการ แต่ถ้านับก่อนหน้านั้นก็เติบโตต่อเนื่องและทำได้ดี ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2008 – 2009 ไม่มีผลอะไรเลยกับบริษัทนี้
สาเหตุหลักที่ Stericycle ทำได้ดีคือการที่มันมีกฎหมายบังคับเนี่ยแหละ การจัดการขยะทางการแพทย์หรือขยะอันตรายมันมีกฎหมายควบคุมที่วุ่นวาย และมันบังคับให้สถานประกอบการที่เป็นลูกค้า Stericycle โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าเล็กๆที่ไม่สามารถจะมาลงทุนสร้างระบบจัดการขยะด้วยตัวเอง (นึกถึงคลีนิคเล็กๆ, ร้านหมอฟัน) ต้องใช้บริการบริษัทแบบ Stericycle เจ้าไหนซักเจ้าในการจัดการให้
และก็ด้วยกฎหมายควบคุมที่ซับซ้อนกับว่าแต่ละรัฐอาจจะมีกฎไม่เหมือนกัน ทำให้คนที่จะมาแข่งในระดับประเทศแบบ Stericycle มีน้อย Stericycle มีรถวิ่งเก็บขยะของตัวเอง มีศูนย์รวบรวมคัดแยกขยะของตัวเองกระจายอยู่ในหลายพื้นที่ มีโรงกำจัดขยะทางการแพทย์ของตัวเอง มีแม้กระทั่งพื้นที่ทิ้งขยะทางการแพทย์ของตัวเองด้วย
พอ Stericycle มีลูกค้าเยอะหนาแน่น ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยก็ถูกลง เช่น ต้นทุนในการวิ่งรถเก็บขยะก็ถูกลง นึกภาพดูว่าสมมติสองบริษัทแข่งกัน บริษัทที่มีลูกค้าเยอะหนาแน่นก็สามารถจัดให้รถที่วิ่งเที่ยวเดียวนั้นไปเก็บขยะจากลูกค้าได้หลายราย ในขณะที่บริษัทที่ลูกค้าหนาแน่นน้อยกว่าต้องเสียต้นทุนวิ่งรถเท่ากันแต่เก็บขยะจากลูกค้าได้น้อยกว่า แล้วยิ่งมีลูกค้าเยอะศูนย์การจัดการคัดแยกขยะที่ลงทุนไปแล้วก็ยิ่งได้ใช้เยอะคุ้มค่ากับการลงทุนมากกว่า
ในช่วงที่ผ่านมา Stericycle มีการซื้อควบรวมกิจการจำนวนมาก ทั้งในอเมริกาและในต่างประเทศ หลักๆคือตั้งใจจะเพิ่มความหนาแน่นของลูกค้า และไหนๆก็ต้องวิ่งรถจัดการขยะทางการแพทย์แล้ว ก็เลยขยายเข้าไปในขยะควบคุมประเภทอื่นด้วยเลย
ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ
ตอนนี้ราคาหุ้นตกลงมารุนแรงมาก ที่ราคาตกลงก็มีสาเหตุเป็นเพราะผลประกอบการในช่วงปีหลังตั้งแต่ 2015 ทำได้แย่ลง แบ่งสาเหตุเป็นเรื่องๆตามนี้
-
บริษัทเริ่มเจอปัญหาการจัดการ เพราะควบรวมกิจการมาเยอะเกินไป
ถ้าดูในงบการเงินล่าสุดสิ้นปี 2017 จะเห็นว่าทรัพย์สินเกินครึ่งเป็น Goodwill ที่มาจากการควบรวมกิจการ ในเฉพาะปี 2017 มีการซื้อบริษัทเพิ่มอีก 30 บริษัท ทำให้พอตอนหลังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดการเยอะแยะไปหมด มีระบบที่ซ้ำซ้อนเกินความจำเป็นที่มาจากบริษัทที่ซื้อมาจำนวนมาก แล้วก็มีต้องมาขายธุรกิจที่ซื้อมาแต่ทำได้ไม่ดีทิ้งด้วยก็เป็นการสิ้นเปลืองและวุ่นวายมาก
เพื่อให้เห็นภาพ ปี 2017 มีค่าใช้จ่ายพวกที่เกี่ยวกับการจัดการบริษัทที่ควบรวมมา เช่น $10.8 million ค่าเลิกจ้างพนักงาน, $16.4 million ค่าที่ปรึกษา, $2.4 million ค่าด้อยค่าของทรัพย์สินระยะยาว, $118.4 million ค่าเสื่อมและตัดจำหน่ายสินทรัพย์ไม่มีตัวตน, $40.7 million ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการซื้อกิจการ, $71.1 million เป็นค่าจัดการอื่นๆอีก และนี่ยังไม่หมด
-
เรื่องการฟ้องร้อง
บริษัทมีโดนฟ้อง และในปี 2017 มีค่าใช้จ่ายชดใช้หรือพวกที่เกี่ยวกับกฎหมาย $327.7 million ซึ่งทำให้ปี 2017 บริษัทกำไรหายเกลี้ยง แต่ที่สำคัญคือคดีที่แพ้นี้เป็นคดีเรื่องการตั้งราคาไม่เหมาะสมสูงเกินด้วย ดังนั้นแปลว่าในอนาคต Stericycle น่าจะไม่สามารถตั้งราคาค่าบริการได้สูงเหมือนแต่ก่อน
นอกจากฟ้องเรื่องการตั้งราคาแล้ว บริษัทก็ยังมีโดนฟ้องเรื่องคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอีก มีที่แพ้คดีไปแล้วด้วย และก็อาจจะมีอีกในอนาคต
-
กลุ่มธุรกิจขยะโรงงานอุตสาหกรรม รายได้ไม่โตอย่างที่คาด ถ่วงให้รายได้ไม่โต
จากสาเหตุข้างบนก็เลยทำให้หุ้น Stericyle ในช่วงที่ผ่านมาตกลงมาเยอะมาก
ส่วนตัวผมมองว่าปัญหาที่ Stericycle เจออยู่เป็นเรื่องชั่วคราวที่แก้ไขได้ ดังนั้นถ้าราคาตกลงมารุนแรงมันเป็นอะไรที่น่าสนใจ ผมให้เหตุผลประกอบตามนี้
-
ผู้บริหารมองเห็นปัญหาด้านการจัดการ และกำลังรวมธุรกิจต่างๆที่ซื้อมาให้อยู่ใต้ระบบการจัดการเดียวกัน
แผนภาพรวมคือจะ
- จัดแผนการวิ่งรถให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แก้ปัญหาการทับซ้อน
- ขายธุรกิจที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลักทิ้งไป (ล่าสุดขายธุรกิจขนย้ายผู้ป่วยในกับขยะอุตสาหกรรมในอังกฤษ และธุรกิจจัดการขยะข้อมูลในแอฟริกาใต้)
- รวบรวมศูนย์บริการที่สื่อสารกับลูกค้าให้รวมกันมากขึ้น (จากเดิม 80 แห่ง ตอนนี้เหลือ 31 แห่ง)
- ทำระบบควบคุมภายในให้ดีขึ้น (Internal Control)
- ใช้หน่วยงานแผนกบางอย่างร่วมกันสำหรับทุกประเทศ
- เตรียมใช้ระบบไอทีเข้ามาช่วยมากขึ้น ERM, ERP
-
ภาพรวมอุตสาหกรรมด้านการจัดการขยะทางการแพทย์เชื่อว่าจะขยายตัวอยู่ในอนาคต
เรารู้อยู่แล้วว่าสังคมจะมีคนสูงอายุมากขึ้น และใช้บริการทางการแพทย์มากขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมทางการแพทย์ในอเมริกามีการแข่งขันสูง ทุกคนพยายามลดต้นทุน โรงพยาบาลหรือสถานประกอบการมีแนวโน้มผลักภาระการจัดการเรื่องขยะให้คนอื่นจัดการตราบที่ค่าบริการคุ้ม
-
Stericycle มีอำนาจพอสมควร
สังเกตจากที่เค้าโดนฟ้องเรื่องราคา แปลว่าตั้งราคาสูงมากจนลูกค้าไม่ยอม แต่ขนาดว่าลูกค้าไม่ยอมจนไปฟ้องขนาดนี้ retention ของบริษัทก็ยังสูงถึง 90% (หมายถึงลูกค้าเดิมที่ต่อสัญญากับบริษัทมี 90% จากลูกค้าเดิมทั้งหมด)
-
ราคาตอนนี้ถูกลงมาจนเริ่มน่าสนใจ
ถ้าเราเชื่อว่าบริษัทจะสามารถแก้ปัญหาได้ และสุดท้ายจะกลับมาอย่างน้อยกำไรใกล้เคียงที่เคยทำได้ กำไรต่อหุ้นเคยอยู่ $3.5 ที่ราคาหุ้นตอนนี้คิดเป็นผลตอบแทน 5.83% ไม่เลวนี่ยังไม่นับว่าถ้าบริษัทสามารถเติบโตขึ้นไปได้อีกในอนาคต ถ้าบริษัทฟื้นกลับมาเป็นปกติราคาหุ้นจะสูงกลับขึ้นไปค่อนข้างแน่นอน
Disclosure
ปัจจุบันผมไม่ได้ลงทุนในหุ้น Stericycle แต่มีโอกาสที่จะลงทุนใน Stericycle ในอนาคตโดยเฉพาะยิ่งถ้าราคาตกลงมาอีก
ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้