หุ้นที่ผมสนใจ – บิวตี้ คอมมูนิตี้

Stock In My Focus – Beauty Community

As of July 20, 2018                        ราคาหุ้นอยู่ 7.7 บาท

Beauty Community เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่หุ้นตกลงมารุนแรงมากในช่วงที่ผ่านมาครับ  ก่อนหน้านี้ราคาเคยแพงจนไม่น่าสนใจทั้งที่ผลประกอบการจริงๆเค้าทำได้ดีมาก  ตอนนี้ผมเริ่มหันมาสนใจก็เลยเอามาเขียนพูดถึงซักหน่อย

beauty-community-logobeauty-community-shop

ลักษณะธุรกิจ

บริษัทนี้เราน่าจะเคยเห็นอยู่แล้ว  เค้าทำการค้าปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว  โดยร้านค้าปลีกที่บริษัทนี้ทำจะชื่อ Beauty Buffet, Beauty Cottage, Beauty Market, Made In Nature, Beauty Plaza

อันที่สาขาเยอะสุดคือ Beauty Buffet  เป็นสัดส่วนรายได้ 57.4% ของรายได้รวม  ที่ตั้งชื่อแบบนี้คือเจ้าของเค้าให้ลูกค้าเลือกและลองได้อย่างเต็มที่ก่อนตัดสินใจซื้อ  โทนสีที่ผมเคยเห็นมันจะสีขาวกับชมพูค่อนข้างเด่น  สาขาส่วนใหญ่จะอยู่ในห้างหรือซุปเปอร์มาร์เก็ต  สาขาก็เยอะอยู่  เมื่อสิ้นปีที่แล้วเค้าบอกว่ามีสาขาในประเทศไทย 261 สาขา  และยังมีสาขาในเวียดนาม, ฟิลิปปินส์, พม่า, ลาว, อินโดนีเซีย, ฮ่องกงและใต้หวัน  สินค้าเน้นขายราคาค่อนไปทางถูกเมื่อเทียบกับที่ขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าโดยรวม  ยี่ห้อที่ขายอยู่ในร้านอย่าง GINO McCray, THE BAKERY, SCENTIO, LANSLEY เป็น Private Label ของเค้าเองที่จ้างคนอื่นผลิตให้

ส่วน Beauty Cottage นี่ผมก็เคยเห็นอยู่  แต่บอกตามตรงว่าแยกความแตกต่างไม่ออก  ถ้าดูจากบรรยากาศร้านเข้าใจว่าน่าจะขายอะไรที่พรีเมี่ยมขึ้นราคาสูงขึ้นกว่าร้าน Beauty Buffet  อ่านดูจากเวปของตัวบริษัทเค้าบอกว่าร้านนี้จะเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากธรรมชาติ  รายได้จาก Beauty Cottage เป็นสัดส่วน 8.8% ของรายได้ทั้งหมด

อันอื่นก็เป็นค้าปลีกสินค้าประเภทเดียวกันนี่แหละ  อาจจะขายคนละยี่ห้อหรือเล็งจับกลุ่มลูกค้าคนละกลุ่ม  ซึ่งผมไม่ได้เป็นลูกค้าเลยแยกไม่ออกเลยเขียนไว้คร่าวๆ  ถ้ามีความสนใจอยากทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนะนำให้ไปอ่านบนเวปของบริษัทเลยครับ

แล้วที่ผ่านมาเป็นไง

ตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์มาตอนปี 2012 ปลายปีมาจนถึงสิ้นปี 2017 ที่ผ่านมา  บริษัทนี้ทำได้ดีมากจนผมแทบไม่อยากจะเชื่อ  รายได้รวมเติบโต 5 เท่าตัวจาก 700 กว่าล้านบาทมาเป็น 3,700 ล้านบาท  กำไรสุทธิยิ่งเติบโตเว่อร์ไปกว่านั้นอีก  โดยเฉพาะปีล่าสุด 2016-2017 ที่ผ่านมา  Net Profit Marin (อัตราส่วนกำไรสุทธิต่อรายได้) ที่จากเดิมสูงอยู่แล้วที่ประมาณ 20% เพิ่มสูงขึ้นไปอีกเป็นประมาณ 25% กับ 33% ตามลำดับ

การเติบโตช่วงก่อนน่าจะมาจากการขยายสาขาและช่องทางการขายจำนวนมาก  บวกกับยอดขายสาขาเดิมทำได้ดีขึ้นด้วย  ส่วนช่วงปีหลังๆมานี้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วเข้าใจว่าเป็นการขายบนช่องทาง e-commerce กับการขายไปในต่างประเทศ  การขายต่างประเทศโตขึ้นมาเป็นเกือบ 13% ของรายได้ทั้งหมด ณ ปัจจุบัน

ทางบริษัทบอกว่าจุดแตกต่างที่ทำให้เค้าเติบโตได้แบบนี้  คือการที่ทำการตลาดควบคู่ทั้ง Offline และ Online ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมันเอื้อกัน  ไม่ใช่อันใดอันหนึ่ง  เท่าที่ดูก็เหมือนจะได้ผลจริงดูจาก Same Store Sales ที่ทำได้ดีขึ้นมาก

โดยรวมๆคือที่ผ่านทำได้เว่อร์มาก  โดยเฉพาะช่วงปี 2016-2017 ที่ผ่านมานี่บริษัทโตแบบน่าตกใจ  ส่วนแผนในอนาคตบริษัทก็ยังบอกว่าจะยังมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นอีก  และเข้าใจว่ายังตั้งใจจะขยายทาง e-commerce และขยายในภูมิภาคประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

ทำไมตอนนี้ถึงน่าสนใจ

ตอนนี้เริ่มน่าสนใจเพราะราคาตกลงมารุนแรงมาก  มากขนาดไหนก็ช่วงก่อนหน้านี้ราคาอยู่ 22-23 บาท  มาตอนนี้ราคาอยู่ 7.7 บาท  ทั้งที่ไตรมาส 1 ของปี 2018 นี้บริษัทก็ยังทำได้ดีอยู่  และมีการเติบโตทั้งยอดขายและกำไรเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2017  สาเหตุที่ราคาตกลงมารุนแรงขนาดนี้เข้าใจว่ามาจากสาเหตุหลักๆคือ

  1. เจ้าของเดิมขายหุ้น

คุณสุวิน ไกรภูเบศ  กับคุณธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ  ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของบริษัทมีการทยอยขายหุ้นออกมาจำนวนมากต่อเนื่องทุกปี  คนเลยเริ่มสงสัยว่าเป็นเพราะผู้บริหารจะสละเรือหรือเปล่า  หรือมองว่าอนาคตของบริษัทไม่น่าจะดีหรือเปล่า

จากแต่เดิมตอนปี 2012 กลุ่มนายสุวิน ไกรภูเบศมี 7 คนถือหุ้นรวมประมาณ 70% ของบริษัท  มาถึงปัจจุบันกลุ่มเหลือแค่ 2 คนคือคุณสุวิน ไกรภูเบศกับคุณธัญญาภรณ์ ไกรภูเบศ  ถือหุ้นรวมประมาณ 21.23% ขอบบริษัท

  1. แนวโน้มการเติบโตน่าจะชะลอตัว

บริษัทนี้ช่วงที่ผ่านมาเติบโตดีมาก  อย่างปี 2016 บริษัทยอดขายเติบโต 43% ได้  ส่วนปี 2017 ยอดขายโต 46%  ซึ่งเป็นอะไรที่เว่อร์มากและคนน่าจะมองว่ามันไม่น่าจะโตได้ก้าวกระโดดแบบเดิมแล้ว  อนาคตบริษัทอาจจะโตขึ้นแหละ  แต่น่าจะช้าลงกว่าเดิม

ส่วนตัวผมแล้ว  ที่ระดับราคาก่อนหน้านี้ผมก็คิดว่านักลงทุนบ้าหุ้นนี้เกินไปเอยะอยู่ละ  ดังนั้นการที่ราคาจะตกลงมาก็เป็นอะไรที่ผมเชื่อว่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่แรก  แต่ก็ไม่ได้นึกว่ามันจะราคาตกลงมาเยอะขนาดนี้

สำหรับสองเรื่องที่คนกังวลกันผมไม่ได้มองว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด  เพราะอย่างแรกเรื่องที่เจ้าของขายหุ้นในช่วงก่อนหน้านี้ที่ราคาหุ้นมันแพงเว่อร์เกินไปก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลแล้ว  ถ้าเป็นผมก็ขายเหมือนกันแหละครับ  คือไม่ใช่บริษัทเรามันไม่ดีนะ  แต่คือคนในตลาดมันให้ราคาแพงเว่อร์ไง  ขายแล้วคุ้มน่ะครับ  สามารถเอาเงินสดที่ได้จากการขายไปลงทุนอย่างอื่นมันมีโอกาสได้ผลตอบแทนเยอะกว่าคาดหวังว่าคนจะบ้าแล้วราคาหุ้นของบริษัทจะสูงไปกว่านี้  ดังนั้นเรื่องนี้ผมมองว่าก็เป็นเรื่องปกติที่แสดงว่าผู้บริหารเป็นคนมีเหตุผลและทำการรักษาผลประโยชน์ของตัวเองก็เท่านั้นเอง

ส่วนเรื่องการเติบโตที่ชะลอตัวลง  มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วครับ  บริษัทอะไรมันจะโต 40% ไปได้ทุกปีมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว  ที่ว่าชะลอตัวลงนี่ก็โตบ้าบอมากแล้ว  อย่างไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเทียบกับไตรมาส 1 ปีที่แล้ว  บริษัทยอดขายโตขึ้น 30% กำไรสุทธิโตขึ้น 40%  มันถือว่าดีมากแล้วครับ  บริษัทไม่ได้ทำได้แย่ลงแต่อย่างใดเลย

ดังนั้นโดยรวมแล้วผมมองว่าเราอาศัยจังหวะคนมองโลกแง่ร้ายราคาตกรุนแรงแล้วพิจารณาดูว่าบริษัทที่ทำได้แบบนี้เทียบกับราคาตอนนี้น่าซื้อหรือเปล่าดีกว่าครับ

Disclosure

ปัจจุบันผมไม่ได้มีหุ้นใน Beauty Community  แต่มีโอกาสสูงที่จะลงทุนใน Beauty Community ในอนาคตโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าราคาตกต่ำลงไปอีก

ผมเขียนบทความนี้ด้วยตัวเองและเขียนจากความเห็นส่วนตัว  ผมไม่ได้รับค่าตอบแทนใดหรือมีผลประโยชน์ทางธุรกิจใดๆกับบริษัทที่ผมพูดถึงในบทความนี้