ผมว่าหนึ่งในปัจจัยสู่ความสำเร็จในการลงทุนมันคือการเรียนรู้จากการลงทุนที่ผิดพลาดของเรา แล้วปรับกลยุทธ์หรือตั้งกฎการลงทุนเพื่อไม่ให้เราพลาดแบบเดิมเนี่ยแหละ การมีความรับผิดชอบต่อผลลัพธ์ของตัวเอง เลิกกล่าวโทษคนอื่น มันเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จเลยแหละ
แต่ประเด็นที่ต้องถามต่อคือคำว่า “เรียนรู้จากความผิดพลาด” เนี่ย สรุปเราควรต้องเรียนรู้แง่มุมไหน เรื่องอะไรบ้าง ผมโดยส่วนตัวจะใช้คำถาม 4 ข้อหลักในการถามตัวเองเมื่อชัดเจนแล้วว่าการลงทุนผิดพลาด
-
การลงทุนที่พลาดไปแล้วครั้งนี้ จะทำอย่างไรต่อกันมัน
แน่นอนถ้าไม่พลาดแต่แรกได้ดีสุด แต่ในเมื่อพลาดไปแล้ว คำถามคือเราจะทำยังไงกับมันต่อ โดยปกติผมแนะนำให้ใจเย็นแล้วไตร่ตรองก่อนว่าพลาดเยอะแค่ไหนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจต่อ มันมี 2 แบบหลักๆ
- แบบซื้อกิจการเลวร้ายมา อันนี้ยังไงผมขายแน่นอน ถ้าดูแล้วยิ่งนานไปกิจการยิ่งแย่นี่ต้องขายทันที แต่ถ้าเป็นกิจการที่ขึ้นๆลงๆไม่แน่นอน ผมจะไปพยายามขายช่วงที่มันเหวี่ยงมาผลประกอบการดีแล้วรีบขาย
- แบบซื้อกิจการดีแหละ แต่สงสัยจะซื้อมาแพง กรณีนี้ยังไม่ซีเรียสมาก ผมจะทำการหาโอกาสลงทุนบริษัทอื่นทันที และขายเมื่อเห็นว่ามีโอกาสอื่น ถ้าไม่พบโอกาสอื่นอันนี้ก็แล้วแต่ละ จะฝากเงินเราไว้กับหุ้นตัวนี้ก่อนก็ได้ หรือขายทิ้งออกมาถือเงินสดก็ได้
ตัวอย่างกรณีอย่าง TIPCO ที่ผมซื้อมาปุ๊บ ปีต่อมาฝนไม่ตกแล้วบริษัทขาดทุน เลยเป็นเหตุให้ราคาหุ้นตก ผมรู้ตัวละว่ายังไงก็ขายแน่นอน เพราะผมไม่นิยมถือหุ้นกิจการที่ขึ้นกับดินฟ้าอากาศ แต่รึจะขายทันทีในช่วงที่แย่ที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องฉลาด ผมตัดสินใจรอปีที่ฝนตกปกติ ผลผลิตออกมาดีบริษัทมีกำไร ให้คนขายตกใจ ราคาหุ้นสูงขึ้นกลับมาแล้วค่อยขาย
-
อะไรเป็นจุดอ่อนต้นเหตุในกลยุทธ์ของเราที่นำไปสู่ความผิดพลาดนี้
การตอบข้อนี้ เราต้องหลีกเลี่ยงการกล่าวโทษตลาดหุ้น, โชคไม่ดี หรือไปโทษคนนู้นคนนี้ที่แนะนำหุ้นให้เรา เพราะการกล่าวโทษเป็นการปัดความรับผิดชอบ เราต้องหาสาเหตุว่าเราทำพลาดอะไรไป เพราะสุดท้ายต้องอย่าลืมว่าเราเป็นคนสั่งซื้อหุ้น เราเป็นคนตัดสินใจ และเรามันเป็นเงินของเรา
ตัวอย่างกรณี TIPCO สิ่งที่ผมพบคือ เราไม่ได้รู้ก่อนเลยว่าเค้ามีผลไม้กระป๋องส่งออกด้วย เป็นสัดส่วนใหญ่พอสมควรเลยด้วยนะ ถ้าเรารู้แต่แรกว่าเป็นผลไม้กระป๋องก็คงไม่ได้ซื้อ เพราะอุตสาหกรรมประเภทปลูกแล้วแช่ในน้ำเชื่อมใส่กระป๋อง มันทำกันได้เยอะ คู่แข่งมีหลากหลาย เฉพาะเจ้าในไทยก็มีหลายคนทำ ต้นเหตุคือเราไม่ดูให้ดีเอง
-
แล้วเราจะทำอย่างไรเป็นการป้องกันไม่ให้พลาดแบบเดิมอีก หรือเรามีวิธีอะไรมั้ยจะทำกำไรจากสถานการณ์แบบนี้
แน่นอนว่าเข้าใจต้นเหตุอย่างเดียวไม่พอ เราต้องมีการตั้งกติกาหรือเกณฑ์หรืออะไรซักอย่างที่เป็นตัวป้องกันไม่ให้เราพลาดลักษณะเดียวกันนี้อีก และถ้าให้ดีลองนึกดูด้วยว่าสิ่งที่เราเรียนรู้มาเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้หรือไม่
ตัวอย่างกรณี TIPCO ในเมื่อรู้ละว่ารอบนี้เป็นความผิดพลาดหลักมาจากการละเลยเรื่องการหาข้อมูล ดังนั้นผมตั้งกติกาทันทีว่า ต่อจากนี้จะซื้อหุ้นอะไรก็แล้วแต่ ห้ามนึกเองเออเองเด็ดขาด หาข้อมูลจากแหล่งไหนก็ได้กี่ที่มาก็ได้ แต่ต้องมีการอ่านรายงานประจำปีของบริษัทนั้ทั้งเล่มอย่างน้อยหนึ่งปีเสมอ ไม่งั้นห้ามลงทุนเลย และสิ่งที่ย้ำเตือนเพิ่มขึ้นมาก็คือ บริษัทที่ไม่มีอำนาจควบคุมสถานการณ์ กำไรขาดทุนขึ้นกับดินฟ้าอากาศ ลักษณะนี้ต้องหลีกเลี่ยงลงทุน
ส่วนเรื่องว่าจะทำประโยชน์อะไรได้มั้ย ผมก็ได้ข้อสรุปว่า กิจการลักษณะที่แกว่งรุนแรงจากปัจจัยภายนอก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้ ถ้าจะซื้อ ต้องซื้อหุ้นปีที่บริษัทขาดทุนหนักๆ เพราะปีนั้นหุ้นราคาจะตกเป็นพิเศษ อย่างกรณี TIPCO นี่ถ้าจะซื้อในอนาคต จะซื้อต้องซื้อปีแล้งที่ผลผลิตแย่ หรือปีที่กำไรออกมาน่าเกลียดจากปัจจัยชั่วคราว แล้วรีบขายทำกำไรไปซะในปีที่ดี ห้ามลงทุนระยะยาวเด็ดขาด
-
คิดทบทวนดีๆอีกทีซิ ว่าวิธีการที่เราจะใช้ป้องกันนี้ เป็นวิธีการที่น่าจะได้ผลและเหมาะสมแล้วใช่มั้ย
บางทีพอพลาดเราเกิดเหตุการณ์เข็ดน่ะครับ ที่มีข้อนี้คือให้ย้ำอีกทีซิว่าเรากำลังแก้ปัญหาใช่มั้ย ไม่ใช่หนีปัญหานะ อย่างบางทีผมก็มีนะ พลาดไปทีนึงแล้วตั้งกฎว่าจะไม่ซื้อหุ้นกลุ่มนั้นแล้วเพราะไม่ถนัด แต่มานึกดีๆนี่มันหนีปัญหานี่หว่า ไม่ถนัดเป็นเพราะเราไม่มีความรู้เองนี่หว่า แก้ได้จากการศึกษาจริงจังสิ การบอกว่าหลบหุ้นอุตสาหกรรมนั้นทั้งกลุ่มนี่เป็นการหนีปัญหาชัดๆ
และนี่คือคำถามส่วนตัวที่ผมมักจะถามตัวเองหลังจากได้มีการลงทุนพลาดไปแล้ว หวังว่าจะชอบนะครับ