จากตอนที่แล้ว เราเห็นภาพความสัมพันธ์ของราคากับมูลค่าละ เราเข้าใจว่าคำว่าถูกหรือแพงมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวเลขราคาดิบๆ แต่มันขึ้นกับว่ามูลค่าที่ได้มาสูงหรือต่ำกว่าราคาที่เราจ่ายออกไปต่างหาก ทีนี้ผมอยากจะมาสรุปว่าเรื่องนี้ให้บทเรียนสำคัญอะไรกับเราในฐานะนักลงทุนบ้าง
-
หุ้นราคาหน่วยสตางค์ ไม่ได้แปลว่าราคาถูกกว่าหุ้นราคาเป็นพัน
หุ้นราคา 10 สตางค์ อาจจะเป็นหุ้นที่กำไรต่อหุ้น 0.01 สตางค์ก็ได้ (กำไร 1 ต่อราคา 1,000) ส่วนหุ้นราคา 2,500 บาท อาจมีกำไรต่อหุ้น 500 บาทก็ได้ (กำไร 1 ต่อราคา 5)
ความสำคัญมันอยู่ที่ซื้อมาแล้วได้อะไรกลับมามากกว่า ราคาต่ำไม่ใช่ว่าราคาถูก และราคาสูงไม่ได้แปลว่าราคาแพง อย่าโดนหลอก
-
ช่วงหุ้นลงน่าซื้อกว่าช่วงหุ้นขึ้น
ลองนึกภาพตามดู สมมติเราพูดถึงหุ้นฟาร์มเฮ้าส์ (PB)
วันนี้ราคาหุ้น 64 บาท ถ้าเราซื้อ สิ่งที่เราจ่ายออกไปคือ 64 บาท สิ่งที่เราได้กลับมาคือ หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ 1 หุ้น
พรุ่งนี้ราคา 70 บาท ถ้าเราซื้อ สิ่งที่เราจ่ายออกไปคือ 70 บาท สิ่งที่เราได้กลับมาคือ หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ 1 หุ้น
วันต่อไปราคา 60 บาท ถ้าเราซื้อ สิ่งที่เราจ่ายออกไปคือ 60 บาท สิ่งที่เราได้กลับมาคือ หุ้นฟาร์มเฮ้าส์ 1 หุ้น
ประเด็นสำคัญคือ ไม่ว่าเราจะจ่ายราคาไหน สิ่งที่ได้มาคือหุ้นฟาร์มเฮ้าส์ 1 หุ้น มันคือการเข้าไปเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัท และมีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลจากกำไรที่บริษัททำได้
คำถามคือ ในเมื่อจ่ายราคาไหนมูลค่าที่ได้กลับมาก็เหมือนเดิม เราก็ย่อมต้องอยากได้ราคาถูกที่สุดที่เป็นไปได้ถูกมั้ยครับ ดังนั้นยิ่งตลาดหุ้นตกรุนแรงเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะเรากำลังเสียเงินน้อยลงในขณะที่ได้มูลค่ากลับมาเท่าเดิม
นั่นคือเราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของบริษัทแล้ว เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของกำไรสะสมของบริษัท เรามีสิทธิ์ได้รับเงินปันผลจากกำไรที่บริษัททำได้ไปตลอดตราบที่เราถือหุ้น
และนี่คือต้นเหตุหลักเลยที่ทำไมคนลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดขาดทุน เพราะหลายคนแยกความแตกต่างของราคากับมูลค่าไม่ออก
คนไม่รู้จะเข้าใจว่า
ราคา = มูลค่า หุ้นราคาสูงขึ้น = ดี เพราะมูลค่าสูงขึ้น ซื้อ = คุ้มค่า เพราะหุ้นมูลค่าสูงขึ้น
ส่วนคนที่รู้แล้ว จะเห็นภาพว่า
ราคา ≠ มูลค่า หุ้นราคาสูงขึ้น ≠ มูลค่าสูงขึ้น ซื้อ = คุ้มค่าน้อยลง เพราะราคาสูงขึ้นแต่ได้มูลค่าเท่าเดิม